อย่างเฉียบ อ้อน เกวลิน ปราบเพลย์บอยอยู่หมัด แย้มเคล็ดมัดใจสามี อยู่กันแบบยาวๆ ไม่ทุกข์ใจ
ยังจำได้มั้ย นักร้อง/นักแสดงสาวยุค 90 อ้อน เกวลิน คอตแลนด์ หลังห่างหายวงการไปนาน และหวนมาร่วมงานกับทางช่อง 7 ในรอบ 15 ปี ก่อนลาวงการจริงจัง ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์ อัพเดตถึงชีวิตความรัก ที่แหกกฎบริษัท รักคนในที่ทำงาน พัฒนาความสัมพันธ์จากพี่น้องมาเป็นคู่ชีวิต เผยเคล็ดปราบคาสโนว่า
จะมีโอกาสได้เห็นคอนเสิร์ตอีกไหม ให้หวนนึกถึงวันเวลาเก่าๆ? “โจทย์ยาก ถ้าเกิดว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ ถ้าเป็นเพลงละครอาจจะได้เห็นตามรายการต่างๆ แต่ถ้าอัลบั้มส่วนตัว อันนี้ประชาสัมพันธ์เลยนะคะ ถ้าใครแต่งเพลงเพราะๆ ติดต่อมาได้เลย คือเราเป็นคนที่ทำงานร่วมกับเซ้นส์ตัวเอง อะไรที่ไม่เป็นมาสเตอร์พีซก็จะไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ เลยเป็นคนค่อนข้างเลือก อินดี้สูง เลยทำให้เห็นงานเราน้อย เพราะถ้าไม่ถูกใจ ไม่ชอบ ไม่เพราะ ก็ไม่ออกค่ะ”
ความจริงยังสามารถทำงานในวงการได้ต่อ รู้สึกเสียดายโอกาส? “ไม่นะ เพราะถ้าเรามีความคิดแบบนั้นตั้งแต่แรกก็คงไม่ทิ้งทวนมาถึง 15 ปีแน่นอน คือมองว่าถ้าจะทำงาน ทำมาหากิน มีการต่อยอดอยู่เรื่อยๆ เอาจริงๆ ก็คงจะเห็นเราก่อนหน้านี้ไปแล้ว อันนี้ที่กลับมาอีกครั้งเพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่หลังจากนี้ไม่เสียดายค่ะ
เรารู้ว่าเรามีอะไรทำเยอะมาก เราทำหลายอาชีพเลย กลัวว่าเราจะทำงานได้ไม่ดีด้วย พอมาเป็นนักธุรกิจเราก็เลือกทางนี้ทางเดียวเลย ในหนึ่งวีกเราทำหลายอย่างมาก กลัวว่าเราจะไหวมั้ย ไม่อยากเป็นตัวถ่วงคนอื่น แล้วเรามองว่าเราจะสามารถบริหารเวลามากกว่า เลยคิดว่าพอแค่นี้ เพราะเราก็แก่แล้ว”
มองว่ามาเวย์สายธุรกิจดีกว่า? “ใช่ๆ คือมันไม่ใช่แค่ชีวิตของเราแล้ว ถ้าเราเอาแต่ผลลัพธ์ของส่วนตัว มันก็ดูเห็นแก่ตัวเกินไป วันนี้เรามีหลายชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ มีการสร้างทีมตัวแทนออนไลน์ มีสมาชิกที่ต้องดูแล ชีวิตหลายๆ คนที่เขารออยู่มันเป็นภาระหน้าที่ในการทำธุรกิจตรงนั้น เคหาสน์นางคอยเราก็จะอยู่หน้าจอไปประมาณ 6-7 เดือน แล้วก็มีรับเชิญที่ไปโผล่หน่อยเราก็อาจจะอยู่ได้อีกสักปีหนึ่งก่อนที่ทุกคนจะลืมเรา อันนี้คือวางแผนเอาไว้หมดแล้ว”
ได้ยินมาว่าทำหลายอาชีพเลย? “หลักๆ ตอนนี้เราขายแบรนด์เนม เรามีแอดมินกินนอน จ้างเป็นเรื่องราวเลย หมายความว่าถ้าเราไม่มีเวลา พวกเขาก็ไม่มีค่าคอมมิชชั่น เขาก็จะไม่ได้ทำงาน อันนี้เราทำงาน 7-8 ปีแล้ว ภาระหน้าที่ที่ทิ้งไม่ได้คือแม่ รวมถึงลูกเราก็จะต้องสอนการบ้าน จัดตารางเรียน เงินค่าขนมที่ต้องให้ การเป็นแม่ก็จะเข้ามา รีดผ้าเองด้วย เราไม่มีแม่บ้านทำเองทุกอย่าง
อีกอันหนึ่งคือเป็นนักธุรกิจที่สร้างเครือข่ายแฟรนไชส์ที่สร้างทีมขายออนไลน์ เราก็รับผิดชอบคนงานเป็นร้อยเป็นพันคน เราทำมาเป็น 10 ปีแล้ว ณ วันนี้ทุกคนทำออนไลน์ มันก็เลยกลายเป็นกระแส แล้วเรามีประสบการณ์ ถ้าเราต้องมารับละครเพิ่มอีกก็ไม่ไหว ยังไม่นับสปาแบรนด์เนมนะ เป็นเทรนเนอร์ด้วย”
หลายคนแซวว่าเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน ภูมิใจอย่างไรบ้าง? “ไม่ค่ะ ผลลัพธ์ที่ทุกคนเห็นมันมาจากที่เราไม่เคยหยุดทำ แล้วเห็นว่าเรามีซูเปอร์คาร์ขับ แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าเราแลกมาด้วยอะไรบ้าง อย่างช่วงที่เราหยุดร้องเพลง หยุดรับงานในวงการบันเทิง ไม่ได้นอนบ้านเลยนะ ไม่เคยเจอหน้าแม่เลยค่ะ ค่ำไหนก็นอนนั่น ไปทั่วประเทศ ก้มหน้าก้มตาทำงานจนลืมไปเลย 7 ปีแล้วเหรอที่เราหายไป”
เบื้องหลังความสำเร็จ ผ่านมาด้วยหยาดเหงื่อ ความเครียด? “ใช่ค่ะ อดทนแล้วก็สร้าง เพราะเรามาจากครอบครัวที่ไม่มีอะไรมาก่อน ทุกอย่างมาจากการสร้างหมดเลย ถามว่าเครียด กดดันมั้ยน้อย ส่วนใหญ่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างวันก็จะดีดทิ้งเร็วมาก พรุ่งนี้ก็ศูนย์เลย เป็นคนไม่ลากอดีตเท่าไหร่ เราค่อนข้างจะบวกมากๆ เรามีคติที่อยู่ในใจตลอด เราเชื่อว่าทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นล้วนดีเสมอ มันเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญแล้วเติบโต ก้าวหน้า แล้วเราก็เอาสิ่งพวกนี้มาสอนลูกหลานเรา”
ชีวิตครอบครัวยังหวานกันเหมือนเดิม? “อย่างที่เห็น เราไม่ใช่คู่รัก แต่เราเป็นคู่ชีวิต เราเป็นคนเชื่อในเรื่อง Destiny ทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนดีเสมอ เราเชื่อเรื่องพรหมลิขิต เชื่อว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาจะอยู่กับเรา ถ้าเขาไม่ใช่ของเราและเขาต้องออกไปหาคนอื่น มันคือไม่ใช่ของเรา นี่ไม่เคยโทรตามแฟนเลยนะ แล้วด้วยเดิมทีเขาเป็นเพลย์บอย แต่มันมีเสน่ห์ไง ผู้หญิงจะชอบ(ยิ้ม) แต่ส่วนใหญ่ก็จะทุกข์ใจ จัดการไม่ได้
แต่ของเรา 8 โมงเช้ากลับบ้านนะ ไม่เคยโทรเลย นอนหลับสบาย ไม่เคยทุกข์ใจ เชื่อว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาจะอยู่กับเรา ต่อให้เขาอยู่กับเราตลอด ถ้าวันหนึ่งมันจะไปมีคนอื่นสมมตินะ ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้น มันต้องเกิดขึ้น เราเลยใช้ชีวิตกับเขามาแบบนี้ อะไรก็ตามที่มันไม่สมบูรณ์แบบเรามองข้าม เขาบอกว่าเราไม่คาดหวัง เราก็ไม่ผิดหวังไง เรามองว่าไม่มี Nobody’s Perfect”
จัดการกับความรู้สึกตัวเองอย่างไร เมื่อคนของเราเป็นเพลย์บอย? “ก็เราเลือกเขา ก็เพราะเขาเป็นอย่างนั้นไง แล้วเขาก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา เราชอบแบบนั้นถึงได้เลือกเขา นั่นหมายความว่าเราก็ต้องไม่พร่ำบ่น แล้วเราต้องไม่กล่าวโทษกับการเป็นของเขา สุดท้ายเราก็ต้องให้เกียรติการเลือกของเรา เราเป็นคนเลือกเอง ฉะนั้นเราไม่จัดการกับเขานะ เราจัดการกับตัวเอง เราจัดการกับมายด์เซ็ตเองโดยการที่ไม่ตาม เป็นผู้หญิงที่ไม่จู้จี้จุกจิก เธอถึงไหนแล้ว ทำไมไม่ช่วยถือของเลย ทำไมไม่เทกแคร์ดูแลฉัน อะไรแบบนี้ไม่มี”
ช่วยบอกเทคนิคกับสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาในรูปแบบนี้หน่อย ทำยังไงให้อยู่หมัด? “เอาจริงๆ แล้วเรื่องนี้ต้องถามผู้ชายนะ เพราะผู้ชายจะบอกเลยนะ ว่าแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้ชายอยากให้ผู้หญิงเป็น มันเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ยิ่งเราวิ่งเข้าหา เขาจะยิ่งถอย แต่เราเป็นธรรมชาติ ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วเลยกลายเป็นว่าเราไม่เคยทะเลาะ ไม่มีงอน เราไม่แน่ใจคู่รักคนอื่นเป็นยังไงนะ แต่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย ตั้งแต่คบและแต่งงานกันมา จะ 10 ปีแล้วไม่เคยทะเลาะกันเลยสักวันเดียว”
แสดงว่าเป็นคนเอาใจใส่ พูดจาอ่อนหวาน? “ไม่มีนะ (หัวเราะ) น้อยมาก”
เห็นลงรูปแซ่บๆ สามีแอบหวงไหม? “ไม่นะ คือจุดเริ่มต้นของเรากับพี่เขา มันเป็นความเริ่มต้นของความอบอุ่น มันเป็นความเริ่มต้นของความไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะเจอกันในที่ทำงานเดียวกัน ในบริษัทเดียวกัน แล้วเขาเป็นซีเนียร์แล้วเขาทำมาก่อน เรายกมือไหว้สวัสดีอยู่ 5 ปี คือเป็นพี่น้องมานาน ด้วยความที่ไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว พอคุยแล้วมันสปาร์ก พอมันมีจังหวะแล้วคิดว่าเขาน่ารักดีว่ะ อุ๊ย เขาก็ชอบเรานะ แล้วเราก็ว่างกันทั้งคู่ จุดเริ่มต้นของเราเลยเหมือนอยู่กันเป็นเพื่อน พี่ น้อง เลยไม่มีในเชิง ฉันแซ่บ มันเหมือนไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นการยอมรับซึ่งกันละกัน แต่จะมีการปรามบ้าง ไม่ได้หวง มีเตือนว่ามันไม่สมควรนะ เธอมารยาทหน่อย จะเป็นแนวนี้ซะมากกว่า”
เราแหกกฎบริษัทชอบคนในออฟฟิศเดียวกัน เลยทำให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น? “ใช่ เหมือนไว้เนื้อเชื่อใจ รู้ว่าเราผ่านอะไรมา”
สามีเอาใจเปย์ในวันสำคัญต่อเนื่องไหม? “ความจริงเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่มีอยู่นิดนึง แต่มันก็พิเศษแล้ว อย่างเขาไม่ลืมวันครบรอบ แล้วก็เซอร์ไพรส์เรา มีคำพูด คำชมดีๆ ที่อยู่เคียงข้างกันมา แค่เขาโพสต์เฟซบุ๊กแล้วเราไปเห็น ซึ่งเรื่องราวพวกนี้มันควรเป็นผู้หญิงที่ทำ แต่เราไม่ทำแล้วก็ลืมไปด้วยซ้ำ แต่เขาก็ทำ เราเลยเป็นคนที่จากติดลบไม่ค่อยละเอียดอ่อนก็มองว่าสิ่งนี้พิเศษที่สุดแล้วที่เขาทำ”
ชีวิตลงตัววางแพลนให้ลูกเรียนเมืองนอก หรืออยากปั้นเข้าวงการ? “เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ดูเอาว่าเขาไหวยังไง เขาชอบอะไร เอากีฬามั้ย เราก็สังเกตเหมือนกัน อย่างคนเล็ก 6 ขวบ เราก็พยายามสังเกตว่า เขาชอบร้องเพลงมั้ย เขาชอบเต้นมั้ย ส่วนคนโตเราก็เริ่มดูว่าเขาเริ่มโตแล้ว เราควรจะดูแลเขายังไง เราก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนเรื่องวงการบันเทิงก็แล้วแต่เขาเลย เราก็พยายามสนับสนุนซัพพอร์ตเขาว่าเขาได้อะไร”