อาร์เจนตินา เป็นฝ่ายข่มฝรั่งเศสชัดเจน แต่เกมต้องยืดเยื้อเพียงเพราะฤทธิ์เดชความไม่แน่นอนของฟุตบอล กระนั้นบทสรุปก็ยังเป็นทีมที่ดีกว่าคว้าแชมป์โลกจนได้
อาร์เจนตินา ออกสตาร์ตดูดีกว่า โดยที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี ยังไม่ได้ทำอะไรมากด้วยซ้ำ ขณะที่ฝรั่งเศสไม่สามารถตั้งเกมได้เลย ต้องบอกว่าดูจะเล่นกันได้ต่ำกว่ามาตรฐานด้วยซ้ำ
เกมรุกของอาร์เจนตินาคุกคามเกมรับฝรั่งเศสไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการบุกแบบเร็วหรือช้าก็ตาม แถมเกมรับก็ยังเล่นแบบมีทีมเวิร์กที่ดี นักเตะยืนตำแหน่งและบีบพื้นที่อย่างเหมาะเจาะจนทำเอาฝรั่งเศสครองบอลแทบไม่ได้
เล่นไปเล่นมาฝรั่งเศสเริ่มออกอาการการ์ดตก กระทั่งเป็น อุสมาน เดมเบเล ที่แพ้แรงกดดันไปทำฟาวล์โฉ่งฉ่างจนเสียจุดโทษ และมือสังหารระดับเมสซีไม่มีพลาดในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้
หลังจากนั้นแม้อาร์เจนตินาจะผ่อนเกมลง แต่เมสซีกลับแสดงบทบาทโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าทำเอาฝรั่งเศสโงหัวไม่ขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จนเกิดช่องให้ อังเคล ดิ มาเรีย บวกเพิ่มอีกประตู
ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เห็นสภาพทีมแย่มากจึงแสดงความใจถึง ด้วยการถอด 2 ตัวรุกอย่างเดมเบเลและโอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ไม่ได้สร้างความอันตรายอะไรเลยออกมาตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก แล้วส่ง ร็องดัล โคโล มูอานี และมาร์กกุส ตูราม ลงสนามแทน
ฝรั่งเศสปรับมาเล่นแบบไม่ใช้ศูนย์หน้าตัวค้ำ ซึ่งก็ทำให้เกมกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่ฝั่งอาร์เจนตินาก็แสดงศักยภาพเกมรับยิ่งกว่าเดิม ถ้าผู้เล่นฝรั่งเศสคนไหนได้บอล ก็จะมีผู้เล่นอาร์เจนตินาเข้ารุม 2-3 คนอย่างฉับไว แม้แต่เมสซีเองก็ลงมาช่วยเกมรับได้ไม่น้อย
ในทางกลับกัน ฝรั่งเศสไม่อาจใช้ความหลากหลายในเกมรุกซึ่งเป็นจุดแข็งของตัวเองได้เลย เพราะแค่ต่อบอลให้กันก็ยังลำบาก ครั้นจะหันไปใช้ความสามารถเฉพาะตัว นักเตะอาร์เจนตินาก็ตามทันหมด ดูแล้วแชมป์โลกหนนี้คงแบเบอร์เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม กีฬาฟุตบอลนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ และแมตช์นี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เริ่มจากแนวรับเผลอทำพลาดจนเสียจุดโทษ คีลิยัน เอ็มบัปเป ยิงเข้าไป ต่อมาอีกครู่เดียวเอ็มบัปเปก็ซัดตุงตาข่ายเป็นประตูตีเสมอเฉย และกลายเป็นว่าต้องสู้กันถึงต่อเวลาพิเศษ
กระนั้นอาร์เจนตินาเองก็ไม่ได้สั่นคลอนกับสิ่งที่เกิดขึ้นนานนัก ในเมื่อสกอร์เสมอกันก็ต้องกลับมาบุกกันใหม่ และเป็นเมสซีที่สบโอกาสยิงซ้ำผ่านเส้นประตูเข้าไปได้ ตอนนี้โทรฟี่แชมป์กลับมาสู่ฝั่งอาร์เจนตินาอีกรอบ
แต่ไม่รู้ว่าเป็นมนต์ขลัง, เสน่ห์ หรือคำสาปของกีฬาฟุตบอลที่สำแดงเดชอีกครั้ง ฝรั่งเศสมาได้จุดโทษอีกหน และเอ็มบัปเปก็เยือกเย็นพอจะทำแฮตทริกที่สำคัญที่สุดในชีวิตตัวเอง เกมต้องตัดสินถึงการดวลจุดโทษอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าปีนี้ถูกกำหนดแล้วว่าเมสซีจะต้องอำลาฟุตบอลโลกอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเผชิญอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่หยุดหย่อน แต่อาร์เจนตินาก็ชนะจุดโทษจนได้ เอาชนะฝรั่งเศสและเอาชนะความผันผวนของฟุตบอล คว้าแชมป์โลกที่รอคอยมา 36 ปีสำเร็จ
เมื่อย้อนไปดูอาร์เจนตินายุคอดีตที่แล้วมา แม้จะมีนักเตะทักษะระดับเทพก้าวเข้าสู่ทีมแบบไม่ขาดสาย แต่การเล่นจะออกแนวต่างคนต่างเล่น ไม่ได้ประสานงานกันอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ทีมมักจะตายน้ำตื้นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่บ่อยครั้ง
แต่อาร์เจนตินายุคนี้นักเตะเล่นแบบอุทิศตัวเพื่อชัยชนะอย่างแท้จริง ยอมละทิ้งลวดลายที่ไม่จำเป็นเพื่อเน้นประสิทธิภาพแบบองค์รวม ไม่ว่าผู้เล่นแต่ละคนจะทำเพื่อตัวเอง, เพื่อเมสซี, เพื่อกุนซือ หรือเพื่อประเทศชาติ ก็ต้องชื่นชมว่าขุนพลชุดนี้มีจิตใจและสปิริตที่แข็งแกร่งมาก
แน่นอนว่าต้องยกเครดิตให้เฮดโค้ชอย่าง ลิโอเนล สกาโลนี จากคนที่เข้ามารับตำแหน่งท่ามกลางความกังขา เจ้าตัวฟูมฟักขุมกำลังขึ้นมาเรื่อยๆ สร้างทีมที่แข็งแกร่งทั้งในแง่ฝีเท้าและจิตใจ จนสามารถนำทีมปลดล็อกความสำเร็จที่ชาติรอคอยมานานสำเร็จ
ส่วนฝรั่งเศสแม้จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ แต่ภาพรวมของทีมชุดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว นักเตะชุดปัจจุบันหลายคนก็ยังเล่นได้อีกหลายปี เชื่อว่าถ้าสานต่อให้ดีๆ ฝรั่งเศสจะยังเป็นทีมสุดแกร่งของโลกไปอีกนานแน่นอน