อุ๊งอิ๊ง โชว์วิสัยทัศน์ ฟื้นท่องเที่ยวไทย ชี้ อ่านเทรนด์โลกให้ขาด-กิโยตินกฎหมาย

Home » อุ๊งอิ๊ง โชว์วิสัยทัศน์ ฟื้นท่องเที่ยวไทย ชี้ อ่านเทรนด์โลกให้ขาด-กิโยตินกฎหมาย


อุ๊งอิ๊ง โชว์วิสัยทัศน์ ฟื้นท่องเที่ยวไทย ชี้ อ่านเทรนด์โลกให้ขาด-กิโยตินกฎหมาย

อุ๊งอิ๊ง โชว์วิสัยทัศน์ท่องเที่ยวของไทย ปี 2570 ต้องอ่านเทรนด์โลกให้ขาด-กิโยตินกฎหมาย ตั้งเป้าไทยจะเป็นแลนด์มาร์กท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2565 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กถึงการเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทย โดยแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2570 ตั้งเป้าหมายประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระบุข้อความว่า ใครๆ ก็บอกว่าการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักร (Engine) สำคัญที่สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย แต่พอถึงวิกฤตโควิด-19 การท่องเที่ยวไทยก็ล้มลงทันที

จนทุกวันนี้แม้โควิด-19 จะซาลง รัฐบาลลดมาตรการควบคุมโรคระบาด นักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเที่ยวกันแล้ว แต่ปัญหาหลายอย่างก็ยังคงอยู่ อนาคตการท่องเที่ยวไทยจะไปทางไหนก็ยังไม่มีทิศทางชัดเจน เสียงสะท้อนจากวงแลกเปลี่ยนความคิดจากภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้กลับมาคิดตกตะกอนอะไรได้หลายอย่างมาก

น.ส.แพทองธาร ระบุต่อว่า ในฐานะผู้ประกอบการเหมือนกัน การท่องเที่ยวบ้านเรายังไม่ฟื้น ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะตั้งแต่ก่อนโควิด-19 การท่องเที่ยวของบ้านเราไม่มีรากฐานที่แข็งแรงมากพอ เมื่อเจอสถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst case scenario) จึงล้มลงและยากที่จะฟื้นฟูให้เป็นเหมือนเดิม

จะดีกว่าหรือเปล่า ถ้ารัฐบาลในสมัยหน้ามองการณ์ไกล หรือรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จนไม่ทำให้ Engine ที่สำคัญของ GDP ไทยต้องตกหลุมตกบ่อ ชะงักงันขนาดนี้ และจากการพูดคุยในวงนี้ทำให้รู้เลยว่า การพาให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตมากกว่าก่อนโควิด-19 มี 4 เรื่องที่ต้องทำ ดังนี้

1.อ่านเทรนด์โลกให้ขาด แต่เดิม ภาพรวมตลาดการท่องเที่ยวไทยพึ่งตลาดจีนกว่า 60% แต่พอมีนโยบาย Zero-Covid ก็ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่สามารถมาเที่ยวเมืองไทยได้ การท่องเที่ยวไทยก็ล้มลงทันที การท่องเที่ยวบ้านเราจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราควรมองเทรนด์ผู้บริโภคให้ขาด ทุกวันนี้คนหันมาสนใจดูแลตัวเองกันมากขึ้น ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020

ตัวเลขจาก Global Wellness Institute ประเมินว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกมีแนวโน้มเติบโตจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020 เป็น 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025 ขณะที่ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 15 ของตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกในปี 2020 และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตลาดนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังทรัพย์และอิสระทางเวลา ถ้าประเทศไทยสามารถปักหมุดเรื่องนี้ เท่ากับเราสามารถกำลังดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเข้ามา

2.สร้างแรงงานให้พร้อม ไทยมีแรงงานด้านการท่องเที่ยวประมาณ 1.4 ล้านคน แต่ช่วงโควิด-19 ทำให้ต้องลดพนักงานลง พอประเทศเปิด ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มเข้าที่เข้าทาง แรงงานไทยก็กลับเข้าสู่ระบบไม่ทัน ตั้งแต่กลุ่มอาชีพสายบริการ การโรงแรม จนไปถึงธุรกิจการบิน

ถ้าไทยจะปักหมุดเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้อยู่ในใจคนทั่วโลก การส่งเสริมและสนับสนุนภาคการศึกษาเพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับธุรกิจนี้ หรือจะเป็นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศเพิ่มขึ้นในบางสาขางานของอุตสาหกรรมนี้ที่หาแรงงานได้ยากจริงๆ ก็น่าจะนับเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

3.กิโยตินกฎหมาย กฎหมายไทยซับซ้อนมากเกินไป แต่ละหน่วยงานมีระเบียบของตัวเอง บางระเบียบก็ขัดแย้งกัน เช่น เรามี พ.ร.บ.โรงแรมที่ดูแลเรื่องมาตรฐาน แต่ พ.ร.บ.นี้กลับอยู่ในอำนาจมหาดไทย ขณะที่เรื่องโฮมสเตย์ กลับอยู่ในอำนาจของกรมการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องการทำแพ เป็นเรื่องของกรมเจ้าท่า

การอนุญาตให้ตั้งที่พักในอุทยานแห่งชาติ ก็เป็นอำนาจของกรมอุทยานฯ ฉะนั้น กฎหมายอะไรที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์ยุคสมัย ควรยกเลิก/แก้ไขได้แล้ว เพราะกฎหมายนอกจากทำหน้าที่ควบคุมระเบียบสังคมแล้ว ก็ควรเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการทำธุรกิจด้วยหรือเปล่า

 

4.สร้างการตลาดทำให้คนทั่วโลกเชื่อมั่น และมั่นใจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย แต่เดิม Sea Sand Sun ของบ้านเราเป็นที่นิยมชมชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเพิ่มมูลค่าของการท่องเที่ยวให้มากกว่าแค่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็น ‘ธรรมชาติ+สุขภาพ+วิทยาศาสตร์’ แล้วใส่ความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มความรับรู้ของนักท่องเที่ยว ผ่านหลายช่องทางของการสื่อสาร จะสร้างมูลค่าได้เพิ่มอีกมาก

น.ส.แพทองธาร ระบุว่า ทั้งหมดนี้ไม่ได้พูดแค่ในฐานะผู้ประกอบการ แต่อยากลองแชร์ไอเดียในฐานะคนหนึ่งคนที่อยากเห็นการท่องเที่ยวของประเทศไทยดีขึ้นทั้งระบบ เพราะทุกคนในระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต่างก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย แน่นอนว่าการจะผลักดันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการศึกษา พูดคุย จนเกิดความร่วมมือในระดับวงกว้างกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย เอ็นจีโอ และประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการยกระดับการท่องเที่ยวทั้งระบบ และร่วมกันกำหนดว่าการท่องเที่ยวไทยควรไปในทิศทางใด

“เหมือนที่พรรคเพื่อไทยเสนอไว้ว่าในปี 2570 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยจะต้องกลายเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของโลก สร้างงานสร้างรายได้มากกว่า 3 ล้านล้านบาท และเทศกาลต่างๆ ในไทย เช่น สงกรานต์ หรือลอยกระทง จะต้องถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดไว้ในปฏิทินของตน แค่คิดอยู่ในหัวยังตื่นเต้นเลย ยังไงก็ขอบคุณทุกคนในวง ที่มาบอกเล่าประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิด และแชร์แง่มุมต่างๆ ให้ฟังกันอีกครั้งนะคะ เป็นวันที่ได้รับอาหารสมองมากมายเลยค่ะ” น.ส.แพทองธาร ระบุ

ดูโพสต์

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ