อยู่ดีๆ กลายเป็นหนี้นับล้านบาท ทั้งที่ไม่ได้ใช้บัตรเครดิตที่ต่างประเทศและไม่เคยเดินทางไปสหรัฐอเมริกา แต่ธนาคารกลับผลักภาระให้จำเลยที่เป็นผู้เสียหายรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวแทน
เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก ทนายตั้ม หรือ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ นำประเด็นดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกความ มาเผยแพร่เพื่อขอความเป็นธรรม โดยระบุว่า “บัตรเครดิตถูกใช้ที่ประเทศอเมริกา ตัวไม่เคยไป จะทำยังไง? คุณหนึ่งเคยมาร้องผมว่าช่วงโควิดตัวเองอยู่ไทย แต่บัตรเครดิตถูกรูดใช้ที่อเมริกา ทำให้เป็นหนี้ 2 ธนาคารนับล้านบาท
ธนาคารแรกคือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตรวจสอบการเดินทางและการใช้ จนทราบว่าบัตรน่าจะถูกโจรกรรมข้อมูลที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงรับผิดชอบในยอดหนี้ลูกค้า และมีการพัฒนาระบบเพื่อป้องกันต่อไป อันนี้ผมขอชื่นชม
ส่วนอีกธนาคารฟ้องคุณหนึ่ง มาในยอดหนี้ 511,703 บาท คุณหนึ่ง ได้ไปปรึกษาทนายหลายสำนักงานแล้ว แต่ไม่มีสำนักงานไหนรับทำคดีให้ เรื่องนี้ผมได้มีการแถลงข่าวขอความเป็นธรรมในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หวังให้ธนาคารดังกล่าวปรับปรุงและรับผิดชอบกับลูกค้ามากกว่านี้ แต่ไม่เป็นผล
ผมจึงให้ทนายในสำนักงาน Sittra Law Firm ไปเป็นทนายให้คุณหนึ่ง โดยสู้ว่าจำเลยไม่ได้ไปต่างประเทศ บัตรจำเลยถูกโจรกรรมข้อมูลตอนใช้ครั้งล่าสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยได้มีการโต้แย้งโดยขอให้ระงับบัตรในทันทีที่ได้รับ SMS ว่ามีการรูดซื้อสินค้าที่อเมริกา จำเลยโดนโจรกรรมข้อมูลในบัตรเครดิต 2 ธนาคาร โดยธนาคารนึงไม่ฟ้อง เพราะได้มีการตรวจสอบ และรับว่ามีข้อผิดพลาดจริง
ในที่สุดศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว โดยในคำพิพากษาได้ตำหนิโจทก์ ซึ่งประกอบธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เมื่อจำเลยแจ้งความผิดปกติ จึงเป็นหน้าที่โจทก์ที่ต้องตรวจสอบโดยเร็ว แต่ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ตรวจสอบเลยว่ามีผู้คัดลอกข้อมูลของจำเลยหรือไม่ โจทก์เพียงแต่อายัด และออกบัตรเครดิตใบใหม่ให้จำเลย โจทก์ไม่ได้ปฎิเสธการชำระเงินที่ร้านค้า(ในอเมริกา) และผลักภาระให้จำเลยรับผิดแทน ทั้งๆที่สลิปไม่มีชื่อจำเลยปรากฎอยู่ จึงมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ!!