ตรัง หลายหน่วยงานด้านแรงงาน เร่งหาทางช่วยเหลือ หนูน้อยวัย 13 ปี สู้ชีวิตเพื่อความอยู่รอด เข้าเรียนต่อ ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
16 ธ.ค. 65 – จากกรณีที่ได้มีการเสนอข่าว “น้องเร” เด็กชายนนทพันธ์ เดชเจริญ หนูน้อยวัย 13 ปี อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลตำบลควนกุน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ว่า
เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ช่วยหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ทั้งพ่อและน้องสาว หลังจากที่แม่แยกทางจากไป ส่วนตัวหนูน้อยก็เรียนจบแค่ชั้น ป.4 จึงต้องตระเวนทำงานรับจ้างทั่วไป
กระทั่งโชคดีที่มี “พี่เจม” หรือ นายเจม สมแสง อายุ 31 ปี หนุ่มชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา ให้การอุปการะ ด้วยการดึงมาช่วยทำงานตัดผลปาล์มน้ำมัน ทำให้หนูน้อยเริ่มมีอาชีพที่มั่นคง และมีรายได้ประจำวันละ 300-500 บาท
ล่าสุดกลับมีหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ติดต่อมายัง นายเจม ผู้ที่ให้การอุปการะหนูน้อยวัย 13 ปี ให้เดินทางไปพบที่ศาลากลางจังหวัดตรัง พร้อมแจ้งว่า การให้หนูน้อยมาทำงานตัดผลปาล์มน้ำมัน อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย จนถูกกระแสโซเชียลวิจารณ์หน่วยงานดังกล่าวอย่างหนักว่า แทนที่จะช่วยเหลือกลับมากระหน่ำซ้ำเติมคนดีๆ นั้น
ล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำโดย นายจเร พูลช่วย สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดตรัง นางอมรวรรณ ช่วงเพ็ชจินดา แรงงานจังหวัดตรัง นางสาวนูรียัน นิเต๊ะ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดตรัง
นางสาวพรปวีย์ อุไรสวัสดิ์ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มนโยบายและวิชาการ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดตรัง
พร้อมด้วย ปลัดอำเภอสิเกา กำนัน ผู้นำท้องที่ ผู้ท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่บ้านของน้องเร และบ้านของน้องเจม พื้นที่อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง
นางสาวนูรียัน กล่าวว่า จากที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า หนูน้อยวัย 13 ปี เคยเข้าใช้บริการที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดตรัง เมื่อปี 2560 ในกรณีครอบครัวแตกแยก โดยพ่อกับแม่ของน้อง มีลูกด้วยกัน 4 คน อดีตภรรยารับไปดูแล 1 คน และเหลืออีก 3 คน คนสุดท้องตอนนั้น อายุ 2 ขวบ จึงได้ประสานแล้วส่งต่อให้ญาติในพื้นที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นผู้ดูแล
ส่วนน้องเร และน้องสาว อีก 2 คน ย่าเป็นคนอาสารับมาดูแล เดิมอาศัยอยู่พื้นที่อำเภอวังวิเศษ แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ย้ายมาอยู่พื้นที่อำเภอสิเกา ตอนนั้น “น้องเร” ก็เข้าเรียนระบบปกติ ที่โรงเรียนกมลศรี แต่ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา มีการเรียนออนไลน์ ซึ่งทางครอบครัวไม่พร้อม จึงทำให้การศึกษาต้องสะดุดลง
อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมประสาน “น้องเร” เข้าเรียนต่อโรงเรียนประจำ ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ในช่วงปิดเทอม สามารถกลับมาอยู่กับพ่อ อยู่กับครอบครัวได้ โดยทางบ้านพักเด็กฯ จะทำหน้าที่ติดตาม น้องเร เรื่องการไปเรียน และความเป็นอยู่
นางสาวพรปวีย์ กล่าวว่า ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของเครื่องอุปโภค-บริโภคไปกับทางครอบครัวของน้องแล้ว และต่อจากนี้ก็จะช่วยเหลือเป็นเงินผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 3,000 บาท รวมทั้งจะช่วยดูแลในเรื่องของบ้าน เพราะค่อนข้างทรุดโทรม สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม โดยจะสนับสนุนในการซ่อมแซมบ้าน เป็นเงินงบของโครงการพัฒนาจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัด
ขณะที่ นายจเร กล่าวว่า สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานฯ จะช่วยดูแลในเรื่องของการใช้แรงงานเด็ก ค่าจ้าง ค่าชดเชยต่างๆ และจากการสอบข้อเท็จจริงจากหนูน้อยวัย 13 ปี พบว่า ได้ไปช่วย “พี่เจม” หรือ นายเจม ในการตัดปาล์ม โดยไปรับเหมาตามสวนต่างๆ และมีทีมงานรวมประมาณ 8 คน
จากนั้น นายเจม จะนำเงินมาแบ่งกัน รวมถึง น้องเร ด้วย เพื่อให้เขานำไปช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว ซึ่งในเบื้องต้นไม่เข้าองค์ประกอบใช้แรงงานเด็ก แต่เป็นเรื่องของการจ้างเหมา จ้างทำของกัน น้องจึงสามารถทำงานตัดปาล์มได้
ด้าน นางอมรวรรณ กล่าวว่า จากกระแสโซเชียล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้ห่วงใยในเรื่องของการชี้แจงทำความเข้าใจกับสื่อ หลังมีกระแสข่าวว่า เรื่องมนุษยธรรมกับการใช้แรงงานเด็ก โดยทางหน่วยงานไม่ได้มาที่จะจับผิดตามกฎหมาย แต่มาสอบข้อเท็จจริง เพียงแค่วันแรกไม่ได้มีโอกาสได้เจอ นายเจม จึงอาจเป็นความเข้าใจผิดกันนิดหน่อยในการสื่อสารกัน
พร้อมยืนยันว่าทุกหน่วยงานของจังหวัดตรัง ยินดีให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการที่จะช่วยเหลือให้น้องเร ได้เรียนต่อ ได้มีทุนการศึกษา และให้คุณพ่อได้มีอาชีพที่พอจะจุนเจือครอบครัว เนื่องจากตอนนี้คุณพ่อเองก็มีโรคประจำตัวอยู่ก็คือ โรคไตระยะสุดท้าย จึงไม่สามารถทำงานหนักได้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่สามารถดูแลครอบครัวได้เต็มที่ แต่ในเรื่องของความรัก พ่อก็มีความรักให้กับน้องเขาอย่างเต็มที่