31 ส.ส.ลาออกจากพรรคเดิม ทิ้งสถานะ ส.ส. ทิ้งเงินเดือนเงินเพิ่ม 113,560 บาท เงินเดือนผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญอีก 8 คน เดินตัวเปล่าอย่างภาคภูมิใจ ตบเท้าเปิดที่ทำการใหม่พรรคภูมิใจไทย
งงไหม ไม่เข้าใจหนู ไม่เข้าใจงู ทำไมต้องรีบออก ทำไมไม่โหวต พ.ร.บ.กัญชาก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบย้ายพรรค ยังไงก็ทัน 90 วัน บางคนออกทั้งที่รู้ว่าโอกาสกลับมาริบหรี่ด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้น 31 รายชื่อแม่นเป๊ะตามโผที่บอกสื่อ เหลือบางรายยังไม่ลา แต่คงไม่ช้า
ต้องการแสดงอหังการ แสนยานุภาพ ประกาศความยิ่งใหญ่เกรียงไกร? สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในการเมืองไทย ในสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “พลังดูด” เนี่ยนะ อหังการหรือว่าเชิญทัวร์?
พรรคภูมิใจไทยเนื้อหอมมาก่อนหน้า เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่ายังไงก็ได้ร่วมรัฐบาล เพื่อไทยชนะ หรือพลังประชารัฐชนะ อุ๊งอิ๊งหรือประยุทธ์เป็นนายกฯ ภูมิใจไทยก็พร้อมผสมพันธุ์
แต่นั่นหมายความว่า ภูมิใจไทยต้องไม่ทำตัวเองให้เป็นเป้า ไม่เข้าไปอยู่ในความขัดแย้งสองขั้ว รักษาเนื้อรักษาตัว สะเทินน้ำสะเทินบก ไม่ชูคอให้เป็นตำบลกระสุนตก รอโอกาสอย่างเจียมตัว
ทำไมต้องเจียมตัว เพราะภาพลักษณ์ภูมิใจไทยคือศูนย์รวมนักการเมือง “บ้านใหญ่” มุ่งหาผลประโยชน์ลงพื้นที่ ตามสไตล์ “ประชาธิปไตยบุรีรัมย์โมเดล” อย่างที่รองประธานสภา “สหายแสง” พูดไม่เม้ม ได้งบประมาณเข้าจังหวัดนครพนมเป็นหมื่นล้าน “เป็นผลงานของท่านศักดิ์สยามและพรรคภูมิใจไทย …ที่ได้งบประมาณจำนวนมาก เพราะมี ส.ส.ภูมิใจไมยไงละ ไอ้โง่”
คำประกาศเช่นนี้ รวมทั้ง “เสี่ยหนู” ให้คำมั่น ได้ ส.ส.ยกจังหวัดให้เก้าอี้รัฐมนตรี ย่อมดึงดูด ส.ส.เข้าสังกัด ยังไม่นับที่รู้กันว่า ท่อน้ำเลี้ยงมีไม่อั้น
แต่ถามว่าเดินแนวทางนี้ แล้วจะทำให้คนทั้งประเทศรัก เหมือนคนบุรีรัมย์รักเนวิน อย่างนั้นหรือ
คนสกล คนอุดร รู้สึกอย่างไร ที่งบประมาณไปลงนครพนม โทษตัวเองโง่ที่ไม่เลือกภูมิใจไทย สมัยหน้าเลือกทั้งจังหวัดจะได้มีรัฐมนตรี?
คนใต้ที่เคยโกรธทักษิณ หาว่าไม่ให้งบลงพื้นที่ เจอแบบนี้จะว่าอย่างไร อ้อ เลือกตั้ง 62 คนใต้ก็เลือกภูมิใจไทยไป 8 เก้าอี้แล้วไง
ถามจริง วิถีการเมืองอย่างนี้จะยิ่งใหญ่ จะสร้างประวัติศาสตร์ มีโอกาสผงาดเป็นนายกฯ เหมือนในซูเปอร์โพล? ซึ่งถีบประยุทธ์ตกไปอันดับ 4
แล้วจะมี ส.ส.กรุงเทพฯ “บุรีรัมย์โมเดล” เอางบลงพื้นที่? สร้างสนามแข่งโมโตจีพี ขำตาย!
พูดอย่างนี้ไม่ได้ปรามาส พรรคภูมิใจไทยมีศักยภาพ มีบุคลากร มีทรัพยากร (เหลือเฟือ) ที่จะเป็นพรรคใหญ่ แต่ที่ผ่านมาไม่มีความกล้า ที่จะมุ่งหมายเป็นพรรคแกนนำ หวังเป็นเพียง “ตัวประกอบ” เป็นพรรคร่วมรัฐบาล หวังเพียงต่อรองเก้าอี้สำคัญ เช่นคมนาคม
เลือกตั้ง 62 ก็ทำให้คนผิดหวัง เพราะพูดไว้อีกอย่าง แต่กลับหลังหันร่วมรัฐบาลตู่ กระทั่ง ส.ส.ตัวเอง ยังงดออกเสียง (แต่เวลาผ่านไปก็ถูกกลืน) ยิ่งกว่านั้น พอพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ ก็เปล่งพลังดูด กระทั่งถูกเกลียดชังจากมวลชนฝั่งประชาธิปไตย (โดยไม่นับความโกรธจากอดีต “มันจบแล้วครับนาย” พรรคพลังประชาชนถูกยุบแล้วไปตั้งพรรคสีน้ำเงินกอดกับอภิสิทธิ์)
ว่ากันจริงๆ ส.ส.ภูมิใจไทยจำนวนไม่น้อยก็มีสำนึกประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน ไม่ได้ชอบรัฐประหาร แอนตี้อำนาจรัฐส่วนกลาง แสดงออกหลายครั้งในสภา แต่พอลงมติสุราก้าวหน้า หรือแก้รัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น ก็งดออกเสียงหรือโหวตสวน ทั้งที่ “บุรีรัมย์โมเดล” จริงๆ ควรสนับสนุน
แต่ภูมิใจไทยไม่มีความกล้า ที่จะยืนซด ปะทะอำนาจ เหมือนสมัยเนวินจัดตั้งเสื้อแดงหลังรัฐประหาร 49 ภูมิใจไทยเพียงแต่ใช้ศักยภาพต่อรองเพื่อพื้นที่
มาวันนี้ ภูมิใจไทยจะประกาศตัวเป็นพรรคใหญ่ พรรคแกนนำ จึงสายเกินไป ต่อให้ได้ ส.ส. 200 คน ก็ไม่เห็นภาพ “เสี่ยหนู” เป็นนายกฯ คนทั่วไปยังเห็นภาพ “เสี่ยรับเหมา” ประจบเอาใจ ทางโน้นก็นาย (ประยุทธ์) ทางนี้ก็นาย (ทักษิณ) ถ้าจะสลัดภาพให้ได้ ต้องใช้เวลา และต้องยกระดับความกล้า เป็นผู้นำการเมือง
ซึ่งเป็นได้นะ ไม่ใช่เป็นไม่ได้ แต่ต้องใช้ความกล้า เช่นประกาศว่าถ้าชนะเลือกตั้งจะชวนทุกพรรคการเมืองแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
นึกภาพบรรหารกับรัฐธรรมนูญ 2540 คุณคิดว่าเสี่ยหนูกล้าไหมล่ะ ซูเปอร์โพลลองถามดู
ถ้าภูมิใจไทยกล้ายกระดับตัวเองเป็นผู้นำ เป็นผู้กล้า ไม่ใช่แค่ตัวประกอบ ไม่ใช่แค่ผู้ตาม ก็จะย่างก้าวสู่เลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่กล้า งานเปิดพรรคก็จะเหมือนอาเสี่ยเปิดร้าน ระดมลูกน้องมาอวยพรคับคั่ง หน้าใหญ่หน้าบานแล้วก็จบไป
ถ้าไม่ยกระดับ ก็เป็นได้แค่ตำบลกระสุนตก ทุกพรรคหมั่นไส้ มองทางซ้ายก็เจอมวลชนเสื้อแดง ความแค้นตั้งแต่อดีต 52-53 เจอคนรุ่นใหม่ แอนตี้การเมืองบ้านใหญ่ มองไปทางขวา คนชั้นกลางอนุรักษนิยม ก็ฝังใจ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ”
เฉพาะหน้า สลิ่มอาจจะเชียร์ภูมิใจไทยขวางเพื่อไทย “แลนด์สไลด์” เชียร์ให้ได้ ส.ส.เยอะๆ เพื่อหนุนประยุทธ์เป็นนายกฯ กลับมาคุมคมนาคม ทำหัวลำโพงคอมเพล็กซ์
แต่จะมีกี่รายเชียร์เสี่ยหนูเป็นนายกฯ เป็นเมื่อไหร่ก็โดนกระหนาบโดนกะซวก เหวอะหวะทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง