ทิดแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี่ เปิดใจหลังสึก โกยเงินล้านศัลยกรรมเสริมหล่อเป็นชายทั้งแท่ง ลาขาดสาวหวาน ฟุ้งเนื้อหอมมีคนทักจีบ
ทิดแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี่ (Miss Tiffany 2009) เวทีประกวดความงามสาวประเภทสอง ‘แจ๊ส สรวีย์ รวีรัฐฐากรณ์’ ที่ตัดสินใจบวชเป็นพระนานถึง 9 ปี เปิดใจกับ ข่าวสดบันเทิง เหตุผลที่สึกออกมาเป็นฆราวาส จากที่เคยลั่นวาจาอยากบวชตลอดชีวิต และตอนนี้มีแพลนทำศัลยกรรมทั้งตัว ในลุกส์หนุ่มหล่อเท่ วงเงิน 1 ล้านบาท ไม่อยากกลับไปเป็นสาวหวานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา พออยู่ในภาพผู้ชายหล่อยอมรับมีคนทักมาจีบเยอะ พร้อมเปิดมุมมอง LGBTQ ก็สามารถบวชได้
ทำไมถึงสึกทั้งๆ ที่บวชมา 9 ปี? “เหตุผลที่สึกออกมาคือมาทำภารกิจส่วนตัว ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อน น่าจะได้กลับไปบวชต่อ”
ได้ยินว่าจะบวชตลอดชีวิต? “ที่ผมเคยพูดไว้ว่าอยากที่จะบวชตลอดชีวิต ณ เวลานั้น เมื่อนึกย้อนกลับไป พอที่จะนึกได้ว่าการที่เรามีความทุกข์ เราต้องการที่พึ่ง แล้วเราก็คิดว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่พึ่งให้เราได้ไปตลอดชีวิต แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ระยะเวลาที่ผมบวช 9 ปี ผมได้เรียนรู้ร่วมกับคณะสงฆ์ ได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็สามารถนำมาใช้ชีวิตได้อยู่จริง แต่ในที่สุดแล้วเมื่อเวลามันผ่านมาหลายปี ก็ทำให้เราได้ทบทวนว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพไหน ไม่ว่าจะบวชเป็นพระ หรือลาสิกขาออกมาเป็นโยม ก็สามารถเอาธรรมะมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้ ผมเคยพูดไปเมื่อ 2 ปีก่อนว่าไม่แน่ผมอาจจะลาสิกขาก็ได้ เพราะเรารู้สึกว่าธรรมะสามารถเอามาใช้ในชีวิตที่เป็นฆราวาสได้”
บวชครั้งต่อไปคิดว่าจะสึกอีกไหม? “การบวชครั้งหลังก็ยังไม่กล้ารับปาก เพราะตอนที่เราบวชครั้งแรก 2 ปี กะว่าจะไม่สึก แต่เราก็สึก สึกแค่วันเดียวแล้วผมก็บวชใหม่เลยในวันรุ่งขึ้น แล้วอยู่ต่อมาอีก 7 ปี รวมเป็น 9 ปี ทำให้เห็นว่ามันไม่ได้แน่นอน หลายคนก็อาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพูดแล้วก็ทำไม่ได้ แต่ในที่สุดถ้าลองมาอยู่ในสถานภาพที่ผมเป็นอยู่ แล้วลองปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ ไม่ฝืนตัวเอง เราอยู่ก็ไม่อึดอัดจนเกินไป เราสึกไปก็อยู่ได้อย่างมีความสุข”
สึกออกมา ก็มีแพลนศัลยกรรมเป็นชายแท้ทั้งแท่ง? “ดูสภาพแบบต้องใช้เงินเยอะ แก่แล้ว (ยิ้ม) อายุ 30 กว่าแล้วครับ 9 ปีที่บวช หน้าตา ผิวพรรณ ไม่ได้เจอเครื่องสำอางเลย ผิวพรรณก็หย่อนคล้อยไปตามกาล แต่ก็ได้โอกาสที่ดีจากคลินิกที่ให้การดูแล เรียกว่าเมตตาตั้งวงเงินให้ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งตัวผมเองไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องทำอะไร เท่าไหร่ ใช้เงินมากแค่ไหน ก็ขอบคุณคุณหมอกวางที่ให้เราได้ดูแลตัวเองในวงเงิน 1 ล้านบาท จะทำอะไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในความพอดีไม่มากและน้อยจนเกินไป”
อยากจะเปลี่ยนแปลง เสริมตรงไหน? “คงต้องให้คุณหมอดูให้ว่าส่วนไหนที่เราบกพร่องไป ผิวพรรณหย่อนคล้อย อาจจะโบท็อกซ์ ร้อยไหม ริ้วรอยต่างๆ ก็ให้คุณหมอดูแลให้ ก็ให้อยู่ในความพอดี อยู่ในลุกส์บอยหล่อๆ เท่ๆ ไม่ได้เป็นสาวหวานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา”
ทำไมถึงอยากเปลี่ยนลุกส์ภาพจำเดิมจากสาวหวานมาเป็นหนุ่มมาดเท่? “ผมว่าผมแต่งลุกส์ผู้ชายหล่อๆ เท่ๆ ก็น่าจะหล่อดีนะ น่าจะไม่ขี้เหร่ น่าจะพอดูได้ หลายคนก็คาดหวังว่าภาพจำแรกที่เห็นผม รู้จักผมในฐานะของนางงามสาวหน้าสวย หุ่นดี ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณดี มิสทิฟฟานี่ 2009 แต่ในที่สุดก็ไปบวช มีการตัดหน้าอกออก แล้วก็ปล่อยร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ความเป็นนักบวช และรักษาความเป็นบุรุษเพศที่เรามีมาแต่กำเนิด ซึ่งผมก็ไม่ได้เปลี่ยนเพศตั้งแต่ปี 2009 ก็กลับมาใช้สถานภาพเป็นบุรุษได้ปกติ หลายคนก็คาดหวังอยากให้ลุกส์ออกมาเป็นอย่างอื่นก็เข้าใจได้”
เวลาทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติไปพอสมควร? “ไม่ใช่ทุกคนครับ บางคนก็จะมีทัศนคติว่าบวชแล้วก็ทำให้ไม่อยากกลับไปเป็นสาวประเภทสอง บวชแล้วกลายเป็นเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ชาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้อยู่ในเรื่องของการบวชหรือในเรื่องของศาสนาที่จะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตจากทัศนคติในทางเพศ เน้นย้ำว่าเป็นไปในเรื่องของกลไกธรรมชาติ การอยู่ในสถานภาพไหนแล้วมีความสุขก็เพียงพอแล้ว แล้วเอาหลักธรรมะมาใช้ในการประคับประคอง”
มีคนติดต่อเข้ามาให้รับงานแต่งหญิง? “น่ารักดีครับ เจ้าแรกเลยเป็น น้องนัท นิสามณี เขาเป็นคนดังยูทูบเบอร์ ผมไม่คิดว่าห่างหายกันมา 10 ปี น้องยังคงนึกถึงเรา ให้โอกาสเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายเหมือนกับน้องเขา แล้วเขาก็ชวนไปสะบัดแปรง แต่งสวยๆ คัมแบ๊ก ก็ถือว่าดี แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะขอเวลานิดนึง ว่าถ้าแต่งเล่นๆ สนุกๆ โอเค แต่ถ้าให้แต่งเป็นการถาวรไปเลย ผมยังไม่พร้อมจริงๆ อยากจะใช้ชีวิตปกติแบบนี้ไปดีกว่า มันง่ายดี ผมเผ้าก็ไม่ต้องมาสระ มาไดร์ ดัด แต่งหน้าก็ง่ายดี แต่ในเรื่องของเมกโอเวอร์ก็อาจจะทำให้น้องนัท ในอนาคตก็อาจจะไปให้น้อง แต่ก็มีไปเข้ารายการนั่งสัมภาษณ์พูดคุยให้น้องแทน มีถึงขั้นที่บางคลินิกศัลยกรรมติดต่อมาบอกว่าจะทำหน้าอกให้ เราก็บอกเดี๋ยวๆ ก่อน อย่าเพิ่งครับ ช้าก่อน ผมขออยู่แบบนี้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่มีหน้าอก”
พอออกมาเป็นฆราวาสแล้วเจอเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เราได้ขัดเกลา ปล่อยวางในส่วนตรงนี้อย่างไร? “เยอะนะครับ เสียงวิพากษ์วิจารณ์มันมีมาแต่ต้นแล้ว ผมโชคดี ผมใช้ชีวิตคุ้มมาก ในเส้นทางที่เราเลือกเดินไป แต่มันไม่ใช่แค่ในแง่ของความสุข มันมีความทุกข์มาด้วยนะ ท่ามกลางที่เราอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงส่อง บุคคลให้ความสนใจ ก็ย่อมมีทั้งคำชื่นชมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ควบคู่กันไป แรกๆ ผมทำใจยอมรับไม่ได้ แรกๆ อาจจะเห็นรีแอ๊กชั่นของผมที่ตอบคำถามสื่อมันเป็นไปตามอารมณ์ ขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดสติที่จะควบคุมทำให้เรื่องราวต่างๆ มันบานปลาย ในที่สุดก็เป็นไปในทางลบซะมากกว่า”
“แต่พอผมได้บวช ได้ปฏิบัติธรรม 9 ปี เกิดประโยชน์สูงสุดมากๆ สำหรับผม นอกจากคำชื่นชม สรรเสริญจากคนอื่น เสียงวิจารณ์น้อยลงมากจากเดิม ด้วยทัศนคติของเราเองตลอด 9 ปี เติบโตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเป็นไปในเชิงบวก ผมก็รับฟัง ยอมรับหลายๆ คอมเมนต์ได้เห็นทัศนคติของแต่ละคน แต่ก็ไม่ไปตัดสินว่าเขาเป็นคนอย่างไร เพราะในที่สุดมันก็ย้อนกลับมาที่เราว่าทัศนคติในเชิงลบของเขา เพราะในอดีตเราเคยทำในสิ่งที่ไม่ดีไว้ เราก็ต้องรับผลกรรมที่อาจจะน้อยลง ไม่โกรธเลย”
รอบนี้ที่สึกออกมาจะอยู่ไทยนานแค่ไหน? “แพลนไว้ว่าจะไม่นานครับ อยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับวัดวาอาราม กับศาสนา แต่ในที่สุดต่อให้ผมจะรับปากไว้ว่าจะมากจะน้อยเพียงใด ก็ต้องแพ้กลไกของธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติจัดสรรให้ผมอยู่สั้น ผมก็อยู่สั้น แต่ถ้าจัดสรรให้ผมได้อยู่เป็นฆราวาสได้นานขึ้น ก็อยู่ให้มีความสุขในทุกสถานภาพ”
ทางครอบครัวว่าอย่างไรบ้าง? “คนเป็นพ่อแม่ก็ย่อมห่วงลูก ต่อให้อายุ 30 กว่าปีก็ยังคงเป็นลูก คำถามแรกที่คุณพ่อคุณแม่ถามก็คือมีปัญหาอะไร ผมซึ้งใจด้วยหัวใจของคนเป็นพ่อแม่ แล้วแม่ก็ส่งคลิปเสียงเพลง กลับบ้านเรารักรออยู่ น่ารักมาก ผมน้ำตาคลอเลย ก็เลยอธิบายไปว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยนะ เพียงแค่ผมอยากจะอยากสึกออกไปสักครู่หนึ่ง แม่ก็โอเค เพราะตอนที่เราตัดสินใจบวช เราตัดสินใจด้วยตัวเอง พ่อแม่ก็ให้โอกาสลูก เมตตาลูก ยิ่งใหญ่มาก”
ช่วงที่ออกมาเป็นฆราวาสมีคนเข้ามาจีบบ้างไหม? “มีครับ มีทั้งอินบ็อกซ์มา ก็น่ารักดีนะ เขาคงจะเห็นผมหล่อมั้ง ก็คงอยากที่จะแลกเปลี่ยนทัศนคติ แต่ผมก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต้องคบใคร หรือต้องเป็นไปในแนวทางนั้นเสมอไป ผมก็คุยนะกับคนที่ทักมาทุกคนเลย แต่เราก็จบด้วยความเป็นเพื่อนกัน ชวนกันไปกิน เที่ยว พูดคุย มันยั่งยืนกว่า แต่ถ้าจะมีจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเราก็ลาสิกขามาเป็นปกติแล้ว รักษาศีล 5 เป็นมนุษย์ปกติแล้ว เราก็สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ปกติตามที่ปุถุชนเขาเป็นกัน”
จากมุมมอง LGBTQ ที่เปิดกว้าง มาบวชเป็นพระ มันผิดไหม? “กรอบของศีลมีอยู่ครับ เรามักจะตัดสินตามทัศนคติของตัวเอง แต่เราไม่ได้ใช้หลักธรรมาธิปไตย พระพุทธศาสนาก็มีกฎระเบียบที่มีอยู่ว่าบุคคลประเภทนี้บวชได้ หรือไม่ได้ ที่บวชได้อนุโลมให้เป็นเช่นไร ซึ่งพี่แพรรี่ อดีตท่านมหาไพรวัลย์ ก็ได้แสดงข้อมูลในส่วนตรงนี้ไว้ ผมว่าเป็นข้อมูลที่ชัดแจ้งทีเดียว แม้กระทั่งตอนที่เข้าอุโบสถ คณะสงฆ์ก็ทำการตรวจทาน คณะสงฆ์ตามจำนวนที่อนุญาตไว้ว่าพระสงฆ์กี่รูปเป็นผู้พิจารณา”
“ผมว่าดีนะ พี่ๆ ท่านใดที่เป็น LGBTQ แล้วตั้งใจที่อยากจะบวชแล้วมีสถานภาพเป็นบุรุษเพศอยู่ ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา เป็นผู้ไม่กระทำผิดกฎหมายอาญาแผ่นดินก็สามารถที่จะบวชได้ ผมชื่นชมยินดีนะ พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เพราะที่ผมบวชคือเพราะทุกข์ ไม่ใช่เพราะความศรัทธา 100 เปอร์เซ็นต์ ผมเผชิญปัญหา จึงไปบวชเพื่อขัดเกลา หลีกหนีจากความวุ่นวาย และกลับมาทบทวนแก้ไขตัวเอง”
ยากไหมกับการปลดล็อกตัวเอง ละทางโลก ทิ้งวงการบันเทิง ไปอยู่อย่างสมถะ? “ถ้าเกิดทบทวนตัวเองเป็นเรื่องยาก แต่ ณ เวลานั้นสำหรับผมมันง่าย เพราะผมตกอยู่ในสภาวะที่มันมืดมน มืดทุกด้าน ไม่รู้จะดำเนินชีวิตไปอย่างไร มีแต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นลบ มีแต่ความผิดหวัง ไม่มีความสุขกับการทำงาน ผมเผชิญสิ่งนี้เพราะตัวผมเอง เพราะความโลภ โกรธ หลง ทำให้ผลตอบรับกลับมาสู่ตัวเองเป็นลบ คงไม่มีใครหนักเท่าผมแล้วล่ะ ณ เวลานั้น ยืนไม่ไหว บางคนอาจจะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย เสพยาเสพติด ไปหาที่พึ่งอื่น”
“แต่ผมโชคดีที่มีสติพอว่าในวันที่ผมล้มก็เลือกที่จะพึ่งพระพุทธศาสนา และได้รับความเมตตาจากคณะสงฆ์ไทยและสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำให้ตัดสินใจง่ายอยู่เป็นบรรพชิตได้อย่างมีความสุข หลายคนอาจจะคิดว่าแจ๊สมีตำแหน่ง ชื่อเสียง มีเงินทอง มีลาภยศสรรเสริญในทางโลกมากมาย แต่ทำไมตัดสินใจทิ้งไป จริงๆ แล้วถ้ามาเป็นผมในเวลานั้นจะเข้าใจ ผมก็เก่งนะที่รอดมาได้ ไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย จากวันนั้นมาวันนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขจริงๆ”
จากวันนั้นที่ต่อสู้กับคำนินทา จนวันนี้ถ้าไปเสริมหล่อจะรับได้กับฟีดแบ็ก? “เสริมหล่อก็เป็นธรรมดาครับ เราไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลที่เพอร์เฟ็กต์ 100 เปอร์เซ็นต์ ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนบางกลุ่ม เราจะทำให้คนรักเราทุกคนไม่ได้หรอก นอกจากเราจะรักตัวเองให้มากพอ ไม่หวั่นไหว ไม่บั่นทอน ไม่ตัดทอนคุณค่าในชีวิตของเรา เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น แต่เราก็ไม่ได้เย่อหยิ่งทะนงตัวกับคำชื่นชมของคนอื่น ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะหันมาดูแลตัวเอง ทำศัลยกรรมก็ดี เสริมเติมแต่งก็ดี ให้มีความมั่นใจมาก ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ ไม่ได้เป็นมิจฉา หรือว่าเราไปเบียดเบียน ไปโกง เราได้มาด้วยความสุจริตของเราก็ถือว่าโอเค ก็เป็นกำลังใจให้ด้วยพัฒนาเสริมเติมแต่งมาก็ขอให้หล่อ”
“แต่ในที่สุดต่อให้เราจะเสริม แก้ไขบอดี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เราจะตกแต่งให้มันดูดีแค่ไหน หากว่าจิตใจเรายังคงเป็นลบ ต่อให้สวยและหล่อ แต่จิตใจ ทัศนคติ คำพูด การกระทำเราไปในเชิงลบ มันไม่มีประโยชน์ สู้กับว่าเราดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้น เปลี่ยนทัศนคติ คำพูด การกระทำให้ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงร่างกาย เพอร์เฟ็กต์เลย และหลายๆ ท่านที่ไม่ได้เลือกศัลยกรรม พอใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง เราก็สามารถดูดีได้”