FootNote:หนทาง มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กับ “อนาคต” ประชาธิปไตย

ข่าวการเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ดำเนินไปในลักษณะของการโยนหินถามทางอันทรงความ หมายยิ่งในทางการเมือง

ไม่เพียงพิสูจน์ต่อสถานะ 1 พรรคพลังประชารัฐ หากแต่ 1 ยังเท่ากับพิสูจน์สถานะ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ

เพราะดำเนินไปในลักษณะอันเป็น “ปฏิมา” และ “ตัวแทน”

เนื่องจาก นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นับแต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 เป็นต้นมา ดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น “ตัวแทน” และสายสัมพันธ์ทางการเมือง

แนบแน่นอยู่กับพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมายังพรรคพลังประชาชน กระทั่งพรรคเพื่อไทย

แม้ว่าในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 จะดำรงอยู่ในฐานะหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ และแยกตัวออกมาเพื่อจัดตั้งเป็นหัวหน้าพรรคโอกาสไทย

สายสัมพันธ์ก็มิได้แยกขาดจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และถือว่าเป็นองคาพยพหนึ่ง ในองค์ประกอบฝ่ายประชาธิปไตย

ข่าวการร่วมกับพรรคพลังประชารัฐจึงเท่ากับเป็น “สัญญาณ”

สัญญาณหนึ่งตอกย้ำให้เห็นแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่ปีกจาก ด้าน

“ประชาธิปไตย” ที่จะเข้าไปร่วมและเคลื่อนไหวทางการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐ

พลันที่ภายในพรรคพลังประชารัฐไม่มีบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนกับในอดีต

ความหมายอันโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งก็คือพรรคพลังประชารัฐ ในยุคที่อยู่ในการนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือโฉมใหม่ในทางการเมือง

เป็นโฉมใหม่อันเท่ากับแยกขาด ออกจากสายสัมพันธ์ที่เคยมีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และที่เคยมีกับกระบวนการรัฐประหารไม่ว่าเมื่อปี 2549 ไม่ว่าเมื่อปี 2557

การเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จึงเท่ากับเป็นการสร้างโฉมใหม่ให้กับพรรคพลังประชารัฐ

ปฏิกิริยาและผลสะเทือนจากข่าวและการตัดสินใจของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ จึงมีต่อพรรคพลังประชารัฐและต่อ พล.อ.ประวิตร แสงสุวรรณ โดยตรง

เท่ากับ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เล่นบท “น้ำยาบ้วนปาก”

คำถามอันแหลมคมอย่างยิ่งก็คือ เพียงการตัดสินใจนี้ของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็สามารถปรับเปลี่ยน “ลักษณ์” ได้ลึกซึ้งกว้างขวางเพียงนั้นเลยหรือ

คำถามนี้เสนอตรงต่อสังคม “ประชาธิปไตย” ของไทย เป็นเครื่องบ่งชี้ทิศทางแห่งอนาคตอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่