ภาคประชาชน รวมพลังค้าน โครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูน เสนอมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ชี้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในหลากหลายมิติ ชาวบ้านไร้ส่วนร่วม
วันที่ 4 ธ.ค.65 เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ศูนย์อบรมอาชีพชนบทจังหวัดหนองคาย อ.เมือง จ.หนองคาย มีการจัดงานเวทีประชุมเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำโขงอีสานเป็นวันที่สอง ซึ่งทางเครือข่ายภาคประชาชนเชิญตัวแทนจากภาครัฐคือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน รองเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน ตัวแทนพรรคการเมือง อาทิ พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทย เจ้าหน้าที่ Pact Thailand และผู้แทนสถานทูตสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ นำเสนอปัญหาของแม่น้ำโขงภาคเหนือตอนบนที่ประสบกับผลกระทบทางความมั่นคงของอาหารโดยระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนมาจากการสร้างเขื่อน ถึง 12 เขื่อนตอนบนประเทศจีน อีกทั้งยังมีอีก 11 เขื่อนที่รอสร้างในอนาคตซึ่งอยู่ในส่วนของแม่น้ำโขงตอนล่างในภาคอีสานยาวจนถึงกัมพูชา
ปัญหาจากการสร้างโครงการเขื่อนใหญ่ ๆ ทำให้ปลาหายไป ระบบนิเวศน์พัง ยิ่งมีข่าวจะสร้างเขื่อนปากแบงจะทำให้เกิดน้ำท่วมและเกาะแก่งจมหายกระทบต่อพรมแดนร่องน้ำลึกระหว่างประเทศ และตนเองมีข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการแก้ระเบียบกฎหมายสิ่งแวดล้อมปี 2535 เพราะมีความล้าสมัย อีกทั้งกระบวนการ PNPCA ที่ยังเป็นปัญหาจากการไม่พยายามหยุดยั้งโครงการเขื่อน หรือแม้กระทั่งต้องแก้ไขและทบทวนวิธีการทำของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ด้าน นายศิริศักดิ์ สะดวก กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูน กล่าวว่า ปัญหาเก่ายังไม่แก้ ปัญหาใหม่จะมาแล้วเพราะวิธีคิดของรัฐนั้นต่างจากคนในพื้นที่ โดยชาวบ้านมองน้ำเป็นวิถีชีวิตที่มีคุณค่าต้องรักษา แต่รัฐมองน้ำเป็นทรัพยากรที่พยายามควบคุมและจัดการทั้งภาคกฎหมาย ระบบนิเวศน์ในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกันต้องดูแลแตกต่างกัน เพราะเขื่อนทำให้น้ำท่วมตอนนี้ไม่ได้มุ่งสู่การพัฒนา แต่นำมาซึ่งปัญหา
“การที่ภาคประชาชนเรียกร้องสิทธิ์เนื่องจากการที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจจัดการบริหารทรัพยากรน้ำร่วมกับภาครัฐ จึงมีข้อเสนออยากให้รัฐศึกษาความเหมาะสมปัญหาในแต่ละท้องที่ เคารพสิทธิ์ในการจัดการน้ำของชุมชน และหยุดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาเดิมให้เรียบร้อยเสียก่อน”นายศิริศักดิ์ กล่าว
นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า รู้สึกกังวลต่อปัญหาเรื่องการสร้างเขื่อนสานะคาม ยืนยันว่าเรื่องของชาวบ้านและเครือข่ายที่ร้องเรียนเข้ามาจะได้รับการรวบรวมข้อมูลและจะนำเสนอต่อ คณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ในวันข้างหน้า
นางสาววชิราภรณ์ กำเนิดเพชร จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวถึงการพยายามยื้อโครงการเขื่อนสานะคามโดยไม่รับข้อมูลเก่าของทางลาว ว่า เพราะมองเห็นถึงปัญหาผลกระทบทางพรมแดนและได้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น พี่น้องประชาชน 8 จังหวัดที่ติดแม่น้ำโขง ปัญหาเรื่องการใช้ทรัพยากรนั้นตนเองเข้าใจดี แต่การมีเขื่อนพลังงานไฟฟ้านั้นมาจากการร่วมมือของประชาชนในประเทศ
หากอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าเรื่องการสร้างเขื่อน พี่น้องประชาชนจะต้องจัดการประหยัดและใช้ทรัพยากรให้เพียงพอต่อความต้องการโดยทั่วกันทั้งหมด โดยจะต้องทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้และเข้าใจถึงการใช้พลังงานให้เหมาะสมและพอดีจะได้ไม่เกิดความต้องพลังงานเพิ่มมากขึ้น
นายไพโรจน์ เตชะเจริญสุจีระ กรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการผันน้ำโขงเลยชีมูนนั้นไม่ได้ผันเข้ามาเพียงแค่เขื่อนอุบลรัตน์เพียงอย่างเดียว แต่ผันเข้ามาเพื่อกระจายให้แก่เขื่อนและแหล่งน้ำอื่น ๆ อีกด้วย กรมชลประทานดำเนินการตามแผนโครงการ 20 ปี พัฒนา 8.13 ล้านไร่มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นอย่างจากทั้งโครงการขนาดกลางและใหญ่
หลังการประชุมเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำโขงได้ไปรวมตัวกันใต้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่ออ่านแถลงการณ์ และส่งตัวแทนประมาณ 10 คน ขึ้นไปบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และปล่อยแผ่นผ้าที่มีข้อความว่า “เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำโขง ไม่เอาโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูน” เพื่อแสดงเจตนารมณ์คัดค้านโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูน โดยตัวแทนอ่านแถลงการณ์
แถลงการณ์ระบุว่า โครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูน เป็นโครงการบริหารจัดการน้ำขนาดใหญ่ของรัฐบาลไทยเมื่อ 30 ปีก่อน ที่พยายามนำเสนอภาพฝันของการขจัดปัญหาความแห้งแล้งในภาคอีสานแบบถาวร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความ แห้งแล้งในพื้นที่สำคัญอย่างลุ่มน้ำชี-ลุ่มน้ำมูน
แต่เวลาที่ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันโครงการทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบนักวิชาการและประชาชนทั่วไป วิพากษ์วิจารณ์กันอย่าง กว้างขวาง ถึงปัญหาการบริหารจัดการน้ำที่ล้มเหลวของรัฐและความไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในหลากหลายมิติ
แถลงการณ์ระบุว่า จากวันนั้นจวบจนวันนี้โครงการ โขง ชี มูน เดินทางมานานกว่า 30 ปี และหลายลุ่มน้ำ ในภาคอีสาน ภาพฝันกับความจริงกลับไม่เป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจกล่าวอ้างไว้ เพราะการรวมศูนย์อำนาจ การจัดการน้ำ และอำนาจการตัดสินใจทางนโยบายถูกกำหนดอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจที่ไม่ได้เข้าใจภูมินิเวศ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม
แถลงการณ์ระบุข้อเสนอเร่งด่วนคือ 1) ยกเลิก นโยบาย โครงการพัฒนา “เก่า” และ “ใหม่” 2) ทบทวนบทเรียนโครงการพัฒนา “เก่า” ก่อนดำเนินโครงการพัฒนา “ใหม่” 3) การเยียวยาและฟื้นฟูเชิง นิเวศ สังคม และเศรษฐกิจ 4) การประเมินศักยภาพเชิงพื้นที่เพื่อเปิดพื้นที่การถกเถียงร่วมกัน
แถลงการยังระบุถึงข้อเสนอเชิงนโยบายว่า 1) พัฒนากฎหมายการมีส่วนร่วม 2) ทบทวนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ และนโยบายการพัฒนาพลังงาน 3) การแก้ไขกฎหมายสิ่งแวดล้อมและกฎหมายน้ำให้ครอบคลุมประเด็นปัญหาข้ามพรมแดน 4) การกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรให้ท้องถิ่น/ชุมชน 5) การส่งเสริมการพัฒนานโยบายการจัดการน้ำขนาดเล็กโดยท้องชุมชน