'เฉลิมชัย' ขอคนรุ่นใหม่เปิดใจรอดู ปชป. เปลี่ยนแปลง ลั่นคบได้ไม่แทงใครข้างหลัง

Home » 'เฉลิมชัย' ขอคนรุ่นใหม่เปิดใจรอดู ปชป. เปลี่ยนแปลง ลั่นคบได้ไม่แทงใครข้างหลัง


'เฉลิมชัย' ขอคนรุ่นใหม่เปิดใจรอดู ปชป. เปลี่ยนแปลง ลั่นคบได้ไม่แทงใครข้างหลัง

‘เฉลิมชัย’ ขอคนรุ่นใหม่เปิดใจรอดู ปชป. เปลี่ยนแปลง ลั่นคบได้ไม่แทงใครข้างหลัง ด้าน ‘จุรินทร์’ ยันต้องปรับตัวตามทันโลก

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 พ.ย. 2565 ที่ลานหน้าสามย่าน มิตรทาวน์ ถนนพระราม 1
พรรคประชาธิปัตย์จัดกิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ นวัตกรรมเปลี่ยนกรุงเทพฯ” โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคฯ ภาคกทม. นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการการเลือกตั้ง คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบายกทม. พรรคประชาธิปัตย์ และน.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง รวมถึง ส.ส. อดีตส.ส.กทม. สมาชิกพรรคและประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

นายองอาจ กล่าวในงานตอนหนึ่งว่า กิจกรรมในครั้งนี้ไม่ใช่หมายความว่าเราเพิ่งมาคิด ทำ หรือมาฟังในวันนี้ แต่เราทำมาอย่างต่อเนื่องที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเราจะนำข้อเสนอที่ได้รับฟังจากประชาชน เพิ่งจะนำไปสู่การทำนโยบายที่มาจากการฟัง และให้ประชาชนมีส่วนร่วม แม้การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2562 ชาวกรุงเทพมหานครไม่ได้ให้โอกาสเรา ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสที่จะทำงานให้กับประชาชน แต่เราไม่ได้เสียกำลังใจ เพราะหลังการเลือกตั้งดังกล่าว เราได้เริ่มกระบวนการฟังประชาชน คิดจากประชาชน และทำเพื่อประชาชนมาตลอด

นายองอาจ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นประจักษ์พยานเรื่องนี้ได้อย่างดี คือเมื่อเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรงเมื่อปี 2563 พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ เราได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการ ศูนย์อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือ และศูนย์เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งทำให้เห็นว่าพวกเราทำงานจริง และทำมาอย่างต่อเนื่อง เกิดจากกระบวนการฟัง-คิด-ทำเพื่อประชาชนได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราได้ลงมือทำจากเสียงของประชาชน จากการคิดของประชาชนจนไปสู่ภาคปฏิบัติ

นายองอาจ กล่าวอีกว่า เรามุ่งหวังว่านโยบายของประชาชนจะเป็นนโยบายที่ประชาชนมีส่วนร่วม และมีความพึงพอใจ อีกทั้งเป็นนโยบายที่สามารถสัมผัสได้ แม้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คนกรุงเทพฯไม่ได้ให้โอกาสเราได้ลงมือทำในฐานะส.ส.รับใช้ประชาชน แต่เราทำงานหนักมาอย่างต่อเนื่อง

“เชื่อมั่นว่าจากการที่เราทำงานหนักมาตลอดเวลาที่ผ่านมาและทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจที่จะรับใช้พี่น้องประชาชน ผลจากการที่เรารับฟังประชาชน และคิดร่วมกัน รวมถึงตั้งใจทำเพื่อประชาชนผมเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าพี่น้องชาวกรุงเทพฯจะให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์และเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถปักธงชัย อยู่ในใจของพี่น้องประชาชนได้” นายองอาจ กล่าว

ด้าน นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า แม้องค์กรมีขึ้น-ลง แต่มั่นใจว่าหลังจากนี้จะเป็นโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ในการเป็นส.ส.ของประชาชน เพราะโลกและสังคมมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ขอยืนยันว่าหลังจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะรับฟังประชาชนให้มากขึ้นทุกคนผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ และจะกลั่นกรองเป็นนโยบายสำหรับคนกรุงเทพฯ และคนไทยทุกคน พรรคประชาธิปัตย์ จะมุ่งมั่นเดินหน้า ฟังคิดทำ เพื่อคนกรุงเทพ และคนไทยทุกคนจึงขอเชิญชวนประชาชน มาร่วมกันคิด ร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ และเปลี่ยนแปลงประเทศสำหรับคนไทยทุกคน

ขณะที่นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ไม่อยากให้มองแค่ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่อยู่มา 76 ปี เพราะนั่นคือความจริงที่เราพิสูจน์ได้ แต่ความจริงอีกอย่างที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคน มองว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไปพรรคการเมืองที่เป็นความหวังของประชาชนได้ ไม่ใช่เอา 76 ปี หรือเอาสถาบันทางการเมืองมาหากิน และสิ่งที่ตนอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ คือตนเป็นเลขาธิการพรรคมา 2 สมัย ซึ่งสมัยแรกตนเป็นสมัยที่นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ส่วนครั้งที่ 2 ตนเป็นเลขาธิการพรรคที่มีนายจุรินทร์เป็นหัวหน้าพรรค แต่สถานการณ์ทั้งสองส่วนนี้แตกต่างกัน ตรวจครั้งแรกเราแพ้การเลือกตั้ง และเป็นฝ่ายค้าน ตั้งแต่ราคาแต่สมัยที่ 2 นั้นเราแพ้การเลือกตั้ง แต่เราได้ไปเป็นรัฐบาล ดังนั้นตำแหน่งเลขาธิการพรรค ทั้ง 2 ครั้งนี้ แม้จะเหมือนกันแต่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วันนั้นถึงวันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง มีอะไรที่สามารถเป็นความคาดหวังให้กับประชาชนได้หรือไม่

นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ตนมีทีมงานโซเชียลมีเดียที่เป็นคนรุ่นใหม่ ตนได้พูดคุยกับคนเหล่านี้แล้วถามว่ารู้สึกกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างไรบ้าง ซึ่งคนรุ่นใหม่เหล่านี้ตอบมาไม่ต่างกันว่า ไม่โอเคกับพรรคประชาธิปัตย์ ตนจึงถามกลับไปว่าแล้วมาทำงานด้วยเพื่ออะไร เขาตอบว่าทำเพราะหน้าที่ ตนจึงอธิบายพูดคุยกับเขาว่าสิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังทำคือการเปลี่ยนแปลงให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นสถาบันทางการเมืองที่ภาคภูมิ โดยไม่เอาอายุของพรรคเป็นตัวตั้ง แล้วต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่ที่เราทำกันเอง แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางขององค์กร ที่สามารถทำให้สาธารณะและประชาชนรับรู้ได้

“การเปลี่ยนแปลง 1 คือในพรรคต้องอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง 2 ต้องสื่อให้ประชาชนยอมรับว่าต้องให้โอกาส ถ้าทั้ง 2 สิ่งนี้บรรจบกันได้ นี่คือประชาธิปัตย์ที่น้องๆ จะเข้ามาทำงานด้วยกัน เพราะการเปลี่ยนแปลง นอกจากทั้ง 2 สิ่ง คือโอกาสของผมและหัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่เป็นโอกาสของทุกคน ทั้งที่อยู่ในประชาธิปัตย์ และพี่น้องประชาชน แต่โอกาสอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความคาดหวัง หรือความหวังให้กับพี่น้องประชาชน”

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า สิ่งหนึ่งที่จะก่อให้เกิดการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงประชาธิปัตย์ในวันนี้ ตนยืนยันได้เลยว่า สิ่งหนึ่งที่อยู่กับประชาธิปัตย์ตลอดไปคือ ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค สิ่งนี้จะยังอยู่คู่กับเขา ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เอากระจกมาส่องตัวเอง ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ตนบอกได้เลยว่า ขอให้อายุ 100 ปีก็ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย

นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ถามว่าถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ พี่น้องคนไทยพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกับตนหรือพรรคหรือไม่ และไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยสู้กับเผด็จการ สู้กับเงิน และจะมีการเรียนรู้และปรับตัว จะไม่มาช่วยกันหรือ ตนอยากขอโอกาส เด็กรุ่นใหม่เยาวชนขออย่างเดียว ไม่ได้ขอให้รัก แต่ขอให้เปิดใจให้กว้าง แล้วรอดูว่าประชาธิปัตย์ เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ ตนยืนยันได้ในวันนี้ ขอให้เชื่อมั่นได้ว่าประชาธิปัตย์คบได้อย่างสนิทใจ เดินไปโดยที่ไม่ต้องระแวงว่าใครจะเอาอะไรมาเสียบหลัง เพราะเรานักเลงพอ

จากนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยน แต่ไม่เปลี่ยนอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องเป็นอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ทันสมัย เพราะต้องการให้ทันโลก วันนี้ถือเป็นตัวอย่างอีกก้าวที่เดินไปสู่ความทันสมัย ในการฟัง-คิด-ทำ โดยคนรุ่นใหม่ของพรรคฯ

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า นโยบายทุกยุคของพรรคประชาธิปัตย์เกิดจากการฟัง คิด และนำไปทำ จึงอยู่ยืนยงมา 76 ปี หากคิดแล้วทำไมเป็น จะอยู่มาได้อย่างไรถึงทุกวันนี้ แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยน ก็ไม่มีวันตามโลกทัน ดังนั้น การฟัง คิด ทำ ของพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่จึงเกิดขึ้น เพื่อเตรียมการไว้สำหรับรองรับสถานการณ์ท้าทายสำหรับประเทศในอนาคต และตนมั่นใจว่าจะนำพรรคประชาธิปัตย์ไปสู่ความเป็นสถาบันที่ยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ