อั๋น-คำผกา ชี้ดราม่าแม่เรียกสินสอดแฟนฝรั่ง ให้เท่าที่ไหว อย่ายอมเป็นหนี้

Home » อั๋น-คำผกา ชี้ดราม่าแม่เรียกสินสอดแฟนฝรั่ง ให้เท่าที่ไหว อย่ายอมเป็นหนี้


อั๋น-คำผกา ชี้ดราม่าแม่เรียกสินสอดแฟนฝรั่ง ให้เท่าที่ไหว อย่ายอมเป็นหนี้

อั๋น-คำผกา ชี้ดราม่าแม่เรียกสินสอดแฟนฝรั่ง ให้เท่าที่ไหว อย่ายอมเป็นหนี้ เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน แนะต่อรองกับแม่โดยไม่ทะเลาะ

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 18 พ.ย. 2565 ข่าวสดออนไลน์ จัดรายการ “ข่าวจบ คนไม่จบ” ดำเนินรายการโดย อั๋น ภูวนาท คุนผลิน และแขก ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา ในหัวข้อ “จำเป็นไหม? สาวเครียด แม่เรียกสินสอดแฟนฝรั่ง ถ้ากลับไทยต้องมีให้”

อั๋น กล่าวว่า ผู้หญิงไปเรียนต่อต่างประเทศ ไปพบรักกับแฟนต่างชาติและแต่งงานกันแล้ว อยู่ที่นั่นก็กระเสือกกระสนทำมาหากินเอง เงินทองไม่ได้เหลือเฟือ แต่ก็ไม่ลำบาก คุยกับแม่ว่าแต่งงานแล้ว แม่ก็ถามว่าแล้วเมื่อไรจะกลับเมืองไทยกับสามีต่างชาติ ต้องมีสินสอดด้วยนะ แม่จะเอา เขาก็เลยคุยเรื่องนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย

อั๋น กล่าวต่อว่า ลูกบอกว่าแม่เลี้ยงดูเขามาอย่างดี แต่ตอนนี้แม่ไม่ได้มีหนี้สิน ไม่มีความลำบาก ตัวเขาเองทำงานส่งเงินให้แม่ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย เขากำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โน่น และรอกรีนการ์ด แปลว่าอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แล้วกำลังคิดว่าจะเริ่มต้นลงทุนทำธุรกิจกับฝ่ายชาย ตัวฝ่ายชายเองก็ทำงานหนัก ทั้งสองคนมีต้นทุนที่ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ รวมถึงการทำเรื่องกรีนการ์ด ต้องจ้างฝ่ายกฎหมายเพื่อขอเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นเงินเก็บที่มี จะไม่เหลือสำหรับการเดินหน้าต่อไป

คำ ผกา กล่าวว่า ตนมีคำแนะนำง่ายๆ เลย คือไม่ต้องอธิบายอะไรให้แฟนเขาฟัง แล้วยังไม่ต้องกลับเมืองไทย แล้วเอาเงินที่มีอยู่ ทำเรื่องกรีนการ์ด ทำธุรกิจให้เรียบร้อย ตั้งตัวให้ได้จนกระทั่งเงินเหลือ แล้วค่อยกลับเมืองไทย แล้วเอาเงินสินสอดที่แม่อยากได้ อาจจะต่อรองลดสัก 30-50% เพราะบางทีเรามองขาวดำเกินไป บางครั้งคนเฒ่าคนแกก่อยากได้สินสอด มันไม่ใช่การทวงเงิน มันไม่ใช่ความโลภของคนเป็นแม่อย่างเดียว มันเป็นวิธีคิดที่อยู่ในวิถีไทย

“เขามองว่าลูกสาว ถ้าไปแต่งงาน ออกเรือนไป แล้วยกให้เขาฟรี ลูกเราจะเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า แล้วผู้ชายจะเห็นลูกเราเป็นของตาย ทำอะไรกับลูกเราก็ได้ เพราะฉะนั้นวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังสินสอด มันเป็นหลักประกันบางอย่างว่า สิ่งที่เธอได้ไปไม่ใช่ของฟรี ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันประมาณนึง”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า เราชินกับความคิดเรื่องความรักแบบโรแมนติก คนสองคนรักกันแล้วอยู่ด้วยกันแบบไหนก็ได้ แต่วิธีคิดแบบคนสมัยก่อน ซึ่งไม่ได้สร้างครอบครัวบนฐานของความรัก แต่สร้างครอบครัวบนฐาน เช่น กงสี เป็นเรื่องการไกล่เกลี่ยผลประโยชน์และการจัดการทรัพย์สิน มรดกของครอบครัวคนจีนทั้งหมด แล้วมันตกผลึกมาเป็นแค่คำสั้นๆ ว่าสินสอด แต่มันมีวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังผ่านมากาลเวลามาเนิ่นนาน

คำ ผกา กล่าวอีกว่า การเรียกสินสอดไม่ใช่การขายลูกสาวกิน แบบที่เราเอามาเข้าใจกันง่ายๆ ในปัจจุบัน แต่มันเป็นหลักประกันให้ครอบครัวฝ่ายหญิงว่า เธอจะไม่ทุบตีลูกสาวฉัน เพราะเธอต้องจ่ายแพงมาก มันเป็นสิ่งที่ค้ำประกันว่าลูกฉันมีค่ามากขนาดไหน เหมือนที่เราเคยคุยกันว่าความรักมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า มันต้องการวัตถุอะไรบางอย่างมาเป็นเครื่องค้ำหรือเป็นประจักษ์พยานว่าความรักหรือคุณค่านั้นมันจับต้องได้ แล้วเวลาที่เราจะนำเสนอการจับต้องได้ มันต้องเสนอผ่านภาพตัวแทนที่เป็นวัตถุบางอย่างหรือของมีค่าบางอย่าง

คำ ผกา กล่าวต่อว่า เราเข้าใจฝ่ายผู้หญิงมากๆ ว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่วิธีที่จะไม่แตกหักกับพ่อแม่ตัวเองคือ เรายังไม่พร้อม ยังไม่มีเงิน เรายังออกนอกประเทศไม่ได้ จะไม่มีสิทธิ์ได้กรีนการ์ด ดังนั้น แม่รอไปก่อน แล้วแม่ก็มี 2 ทาง คืออาจจะตายก่อนได้เจอหน้าลูก เพราะอยากจะเอาสินสอด เราไปเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้ว่าโลกนี้ควรมีหรือไม่มีสินสอด แต่ควรหาทางออกที่เป็นรูปธรรมว่า จนกว่าเราจะมีเงินก้อนนี้ไปให้แม่ เราถึงจะกลับเมืองไทยได้ เว้นแต่ว่าแม่จะยอมเปลี่ยนเงื่อนไข คือเงินสินสอดยังไม่ต้องมา แต่คิดถึงลูก กลับมาหากันก่อนก็ได้

อั๋น กล่าวเสริมว่า ตนรู้ว่าเราไม่สามารถบอกว่าความรักของแม่เป็นสากลโลกได้เสมอไป มีแม่ที่คิดอยากได้เงินจริงๆ ก็มี แต่ตนรู้สึกว่าถ้าถามสั้นๆ ว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น ตนจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ได้ ถ้าไม่ให้แล้วมีคนตายหรือไม่ก็ไม่มี อยู่ที่ว่าคุณวัดความจำเป็นจากอะไร แต่ถ้าถามตนว่า ถ้าคุณให้ได้ คุณก็ควรให้ แต่ถ้าไม่มีความพร้อมในการที่จะให้ คุณก็ต้องอธิบายได้ เพราะในที่สุดเขาคือแม่เรา แล้วเราต้องสามารถอธิบายกับสามีให้เข้าใจได้ ไม่ได้แปลว่าไปขอเงินเขามา

คำ ผกา กล่าวต่อว่า ถ้าเขาไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ก็บอกแค่ว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวเรา แต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราจะเป็นผัวเมียกัน ยอมเจอกันครึ่งทางได้หรือไม่ แล้วไม่ต้องเอาความรักมาแบล็กเมล์กัน ไม่ใช่บอกว่าถ้าเธอไม่จ่ายสินสอดแม่ฉัน คือเธอไม่รักฉัน แบบนี้ไม่ใช่ แต่หมายความว่าแต่ละครอบครัวย่อมมีวิถีปฏิบัติที่ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้เลย ยิ่งมาจาก 2 วัฒนธรรม แล้วการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมยังไงคุณก็ต้องเจอกำแพงพวกนี้ที่จะต้องก้าวผ่านไปให้ได้

อั๋น กล่าวอีกว่า ฝ่ายหญิงบอกว่าค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าเอาเงินสินสอดให้แม่ แม่จะไม่ให้คืน อย่างตอนตนแต่ง ตนก็เอาให้คุณพ่อคุณแม่ฝั่งภรรยา เรารู้เลย 100% โดยไม่ต้องคุยกับภรรยาว่าเขาไม่คืนแน่นอน ต่อให้เขาไม่คืน เราก็ไม่รู้สึกอะไร หรือต่อให้เขาไม่คืนก็ไม่ผิด ส่วนการที่คุณรู้สึกว่าท่าทางแม่จะไม่ให้คืนแน่ๆ เลย ก็ไม่ผิดเหมือนกัน

คำ ผกา กล่าวต่อว่า ถ้ามั่นใจว่าเขาไม่ให้คืน ถามตัวเองว่ามีความสามารถให้ได้เท่าไร สมมติเขาเรียกมา 1 ล้านบาท แต่ให้ได้แค่ 3 แสนบาท ในกรณีที่เขาจะไม่คืน ถ้าให้เขาล้านนึงแล้วเขาคืนก็ให้เขาล้านนึง แต่ถ้ามั่นใจว่าสินสอดก้อนนี้แม่จะไม่คืน แล้วเราจ่ายได้แค่ 3 แสนบาท ก็บอกแม่เลยว่าจ่ายได้เท่านี้จะเอาหรือไม่เอา

อั๋น กล่าวเสริมกว่า เราไม่ต้องชวนทะเลาะ อย่าลืมว่าตอนเขาเลี้ยงเรามาทั้งชีวิต เขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาตั้งงบว่าเขาจะเลี้ยงเราเท่าไร แล้วเขาก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าจะคืนหรือไม่คืน อย่าตีมูลค่า สมมติว่าให้ได้ก็ให้เถอะ อย่าคิดว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ถ้ามีปัญญาจะให้ก็ให้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ ก็อย่ายอมเป็นหนี้

คำ ผกา กล่าวอีกว่า ถ้าให้ไม่ได้ก็ไม่ต้องให้ ถ้ายังลำบากอยู่ ยังต้องเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจอยู่ ไปลงทุนก่อน เพราะเราไม่ควรจะผูกมัดตัวเองด้วยคอนเซ็ปต์ลูกกตัญญู เอาชีวิตตัวเองให้รอด แต่ไม่ต้องไปทะเลาะกับเขา แล้วพอเรามีพอจะจ่ายให้เขาก็เอาไปจ่าย จ่ายเท่าที่เราจ่ายไหว สำหรับตนคือทำดีที่สุดแล้ว ถ้าแม่ยังรับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ก็เป็นปัญหาของแม่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องไปเครียดแทนแม่แล้ว เพราะแม่ไม่ยอมรับฟัง

คำ ผกา กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าสิ่งที่ทำทำเพื่อความสบายใจของตัวเอง ไม่ได้ทำเพราะว่าเราจะต้องอุทิศชีวิตตัวเองให้แม่ เราทำเพื่อความสบายใจของแฟน ทำเพื่อความสบายใจที่เราจะตั้งรกรากอยู่ต่างประเทศแบบไม่มีอะไรต้องติดค้างกัน อย่ามายึดติดกับคำว่าศตวรรษนี้ยังควรมีสินสอดอยู่หรือเปล่า แต่หลักนึงคืออย่าเบียดเบียนตัวเอง ไม่ใช่ว่าต้องเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อแม่

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ