FootNote:ทุกพรรค แยกจาก ประชาธิปัตย์ ล้วนหนุน ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สภาพการณ์ทางการเมืองอันเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ ได้รับการประเมินว่าเป็นสภาพการณ์อย่างเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2531 จาก “กรณีพรรคประชาชน”
เนื่องจากมีจุดเริ่มมาจากความขัดแย้งและความไม่พอใจที่มีต่อ “หัวหน้าพรรค”
เพียงแต่ในปี 2531 เป็นความไม่พอใจต่อ นายพิชัย รัตตกุล เพียงแต่ในปี 2565 เป็นความไม่พอใจต่อ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
โดยที่เมื่อปี 2531 อาจมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นปัจจัยหนึ่ง ขณะที่ในปี 2565 มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นปัจจัยสำคัญ
กระนั้น เมื่อปี 2561 อาจมีการแยกแตกตัวไปจัดตั้งพรรคประชาชนขึ้นมาเพื่อต่อกรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในปี 2565 เด่นชัด อย่างยิ่งว่ามากกว่า 1 พรรคการเมือง
นั่นก็เริ่มจาก พรรครวมพลังประชาชาติไทยซึ่งกลายมาเป็นพรรครวมพลัง เป็นพรรคกล้า ซึ่งกลายมาเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยภักดี พรรครวมไทยสร้างชาติ
สถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์จึงหนักหนาสาหัส
ถามว่าความขัดแย้ง แตกแยก ที่เห็นและเป็นอยู่ภายในพรรคประชาธิปัตย์มีสาเหตุแท้จริงมาจากการขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เท่านั้นหรือ
หากเริ่มต้นจากการเกิดขึ้นของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ก็เด่นชัดว่าไม่ใช่
เพราะรากฐานของพรรครวมพลังประชาชาติไทยคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คือการออกมาเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน “กปปส.”
อันเป็นการปูทางและสร้างเงื่อนไขให้ “รัฐประหาร” เป็นรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองอำนาจต่อเนื่องและยาวนานกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2565
นี่คือจุดต่างอย่างสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ปี 2565
สถานการณ์พรรคประชาธิปัตย์ในปี 2565 แตกต่างไปจากสถานการณ์ของพรรคประชาชนในปี 2531 อย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากทุกพรรคที่แยกตัวล้วนมี “เป้าหมาย” เดียวกัน ไม่ว่าจะมองจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมองจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าจะมองจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ทิศทางแทบไม่แตกต่างกัน
ล้วนเป็นพรรคหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ “ไปต่อ”