ผ่านมานาน 5 เดือนนับตั้งแต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข “ปลดล็อกกัญชา” ออกจากบัญชียาเสพติด มีผลเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา
ส่งผลให้ประเทศไทยเข้าสู่วงจรกัญชาเสรี หลุดกรอบใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มีการนำไปใช้ในทางนันทนาการกันอย่างกว้างขวาง เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายดาย
ถึงจะมีพ.ร.บ.ส่งเสริมการแพทย์แผนไทยที่บัญญัติให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรควบคุม หรือพ.ร.บ.การสาธารณสุข กำหนดให้การสูบกัญชาในที่สาธารณะ เป็นการรบกวนสิทธิผู้อื่น มีความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท แต่ก็ไม่มีสภาพบังคับใช้จริงจัง
เมื่อเป็นเช่นนี้คำว่า “สุญญากาศกัญชา” หรือบางคนเรียกว่า “เสรีกัญชาสุดขั้ว” จึงไม่ผิดไปจากสถานการณ์ความเป็นจริงในบ้านเมืองตอนนี้เท่าใด
จุดเริ่มข้อผิดพลาดมาจากการด่วนประกาศปลดล็อกกัญชา ก่อนมีกฎหมายออกควบคุมโดยตรง
ร่างกฎหมายที่กล่าวถึงคือ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่บรรจุเข้าวาระการพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระ 2 และ 3 ประมาณปลายเดือนนี้
ล่าช้าไปพอสมควรแต่พ.ร.บ.กัญชาฯ ได้รับการคาดหวังจากแพทย์ ครูอาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง ว่าจะเป็นกุญแจดอกสำคัญ นำพาสังคมออกจากสุญญากาศ ที่เป็นมานานกว่า 5 เดือน
อย่างไรก็ตามได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไป ว่าร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ อาจเสร็จไม่ทันอายุสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้
สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งรุนแรงในหมู่สมาชิกรัฐสภา ส.ส. ส.ว. โดยเฉพาะส.ส.ทั้งในซีกฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ที่ต่างก็ตั้งคำถามถึงความหละหลวมของร่างกฎหมาย
ในความเห็นแพทย์หลายคนเชื่อว่า กฎหมายยังมีช่องโหว่ ขาดความรัดกุม ไม่ได้เน้นประโยชน์ทางการแพทย์ แต่กลับเว้นวรรค เปิดช่องให้นำไปใช้ในทางนันทนาการได้ในวงกว้าง
มุ่งเชิงเศรษฐกิจมากกว่ารักษาโรค โดยยกกรณีถ่ายภาพคู่ไอศกรีมผสมกัญชา เป็นตัวอย่างบ่งชี้เจตนาแสวงหาประโยชน์ที่เกินเลยขอบเขตทางการแพทย์
ถึงกระนั้นข้อน่ากังวลอย่างหนึ่ง หากร่างกฎหมายเสร็จไม่ทันสมัยประชุมนี้ซึ่งเป็นสมัยประชุมสุดท้าย ก็ต้องไปพิจารณาในสภาชุดใหม่หลังเลือกตั้ง
สุญญากาศเสรีกัญชาสุดขั้วก็จะทอดยาวไปอีกหลายเดือน ประเทศจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะผลกระทบต่อสังคม เด็กและเยาวชน พรรคการเมืองที่ผลักดันเรื่องนี้ต้องรับผิดชอบอย่างปฏิเสธไม่ได้