อาเซียนยังหนุน วอนเผด็จการพม่าทำตามข้อตกลงสันติภาพ
อาเซียนยังหนุน – วันที่ 27 ต.ค. รอยเตอร์รายงานว่า สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนยังคงมีจุดยืนสนับสนุนให้เผด็จการเมียนมา (พม่า) ดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับอาเซียน
การย้ำจุดยืนทางการกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนเกิดขึ้นหลังสถานการณ์มิคสัญญีทางการเมืองในพม่าลุกลามบานปลายจนใกล้เข้าสู่สงครามกลางเมือง บางส่วนเป็นการต่อสู้กันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันระหว่างกองทัพพม่ากับประชาชนที่ต่อต้านการยึดอำนาจเมื่อ 1 ก.พ. 2564
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชาคมโลกเริ่มตั้งคำถามต่อข้อตกลงสันติภาพที่พม่าได้ให้ไว้กับอาเซียนเมื่อ 18 เดือนที่ผ่านมา ว่าจะสามารถเป็นหนทางการถอดชนวนความขัดแย้งรุนแรงและนำระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่พม่าได้จริงหรือไม่
ข้อสรุปการหารือยังเกิดขึ้นหลังจากการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนนัดพิเศษที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย แต่ไม่มีผู้แทนจากเผด็จการพม่าเข้าร่วม
แถลงการณ์อาเซียน ระบุว่า ทั้งหมดเห็นพ้องกันว่าอาเซียนจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นให้มากขึ้นเพื่อทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดเพื่อนำสันติภาพกลับมาสู่พม่า และว่าสถานการณ์ในพม่านั้นมีความวิกฤตและเปราะบาง
นอกจากนี้ บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมประชุมยังแสดงความกังวลและผิดหวังต่อความคืบหน้าของกระบวนการสร้างสันติภาพตามข้อตกลงที่เผด็จการพม่าได้ให้ไว้กับอาเซียน
รายงานระบุว่า การต่อสู้ระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเหตุล่าสุดเป็นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่าต่อคอนเสิร์ตของกองกำลังชาติพันธุ์ในรัฐคะฉิ่น มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 50 ราย
นางเร็ตโน มาซูร์ดี รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวเรียกร้องให้ยุติการใช้พฤติกรรมรุนแรงทันทีและทางการอินโดฯ ได้ส่งหนังสือเรียกร้องดังกล่าวผ่านไปยังกองทัพพม่าแล้ว
นางมาร์ซูดียังตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าอาเซียนจะพบหารือกับกลุ่มรัฐบาลเอกภาพของพม่าหรือเอ็นยูจีหรือไม่ ว่าอาเซียนจะพาหารือกับทุกฝ่าย ในจำนวนนี้ เอ็นยูจีก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
ก่อนหน้านี้ นายแดเนียล คริเท็นบริงค์ ผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกาภาคพื้นเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เคยระบุไว้ด้วยว่า สถานการณ์ในพม่านั้นถือว่าน่าเศร้า โดยรัฐบาลสหรัฐฯ เคยคว่ำบาตรบรรดาผู้นำเผด็จการพม่าไปแล้ว และมีแผนจะยกระดับมาตรการกดดันอีก