กฎหมายเลือกตั้งถูกคว่ำด้วยแท็กติก สภาล่มโหวตไม่ทัน 180 วัน ต้องกลับไปใช้ร่าง กกต. กลับสู่ “หาร 100” หลังโดนยัด “หาร 500” เข้ามาในวาระสอง
ระหว่างหาร 100 กับหาร 500 อะไรดีกว่า ถ้าพูดถึงความ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ความชอบธรรมตามกระบวนการ ก็ต้องปกป้องหาร 100 (แม้ไม่เห็นด้วยกับวิธีตัดขาทำสภาล่ม)
กระนั้นก็ไม่ใช่หาร 100 คือระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมที่สุด สะท้อนเสียงประชาชนดีที่สุด ทำไมพรรคพลังประชารัฐจับมือพรรคเพื่อไทยทำสภาล่ม เพื่อให้ได้หาร 100 ก็เพราะมันเป็นระบบพรรคใหญ่ได้เปรียบ
มองเทียบสถานการณ์จริง การเลือกตั้งครั้งหน้า 400 เขต จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง “บ้านใหญ่” ชนชั้นนำในจังหวัด กลุ่มทุน อิทธิพล หรือตัวแทน (แม้ไม่ปฏิเสธว่าคนเหล่านี้มาจากเลือกตั้ง ดูแลใส่ใจประชาชน) ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อีก 100 คน ส่วนใหญ่ก็จะมาจากพรรคใหญ่ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย อาจจะได้ 40-30-20 คน ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล ไม่เกิน 20 คน เสรีรวมไทย ประชาชาติ กล้า สร้างอนาคตไทย 1-2 คน ที่เหลือน่าจะสูญพันธุ์
แล้วมันผิดตรงไหน คนไทยฟังแล้วงง เพราะอยู่ในมายาคติ “รัฐธรรมนูญ 2540 ดีที่สุด” การเลือกตั้งปี 44 ทำให้ไทยรักไทยชนะถล่มทลาย เกิด ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ คนมีความรู้ความสามารถที่ไม่ถนัดหาเสียงได้เป็น ส.ส.
มันดีกว่าเมื่อเทียบระบบก่อน 40 มันทำให้พรรคใหญ่เข้มแข็ง ผลักดันนโยบายไม่ต้องเกรงรัฐราชการ แต่ 21 ปีผ่านไป สังคมไทยเปลี่ยน สังคมโลกเปลี่ยน สู่แนวโน้มที่ต้องการพรรคทางเลือกหลากหลาย
ยิ่งกว่านั้น การเมืองไทยยังอยู่ในระบบอุปถัมภ์ ยิ่งเพิ่ม ส.ส.เขต “บ้านใหญ่” ยิ่งกินรวบ
ย้ำอีกทีว่าในทัศนะประชาธิปไตยไม่ได้มอง “บ้านใหญ่” เลวร้าย ส.ส.ที่มาจากตระกูลการเมือง ตระกูลอิทธิพล ผู้รับเหมา ฯลฯ ไม่ได้เอาเงินฟาดหัวชาวบ้านอย่างที่คนชั้นกลางรุ่นเก่าเข้าใจกัน ส.ส.ที่ชนะนอกจากมีฐานะ มีเครือข่ายอุปถัมภ์ ยังต้องขยันลงพื้นที่ เข้าถึงใกล้ชิด มีจิตอาสา จิตใจบริการ ดูแลความเดือดร้อน น้ำท่วมฝนแล้งภัยหนาวถนนหลุมบ่อ ราคาข้าวราคามัน โครงการประกอบอาชีพ ฯลฯ
พูดง่ายๆ คนกรุง 99 ใน 100 ไม่ชอบนักการเมืองบ้านใหญ่ แต่ลองไปลงพื้นที่กับเขาสักวัน 99 ใน 100 จะร้องว่ามีเงินขนาดนี้นอนอยู่บ้านดีกว่า เป็น ส.ส.ให้เหนื่อยยากทำไม
กระนั้นทางกลับกันเราก็รู้ว่า การเป็น ส.ส.เขตต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ใช่แค่หนึ่งล้านกิ๊กก๊อกตามระเบียบ กกต.ตอนหาเสียง ต้องใช้ตลอดสี่ปี ต้องวิ่งหางบประมาณโครงการลงพื้นที่ ต้องต่อรองจัดสรรผลประโยชน์
เพราะเหตุนี้ ส.ส.เขตอนาคตใหม่ก้าวไกลที่ได้มาด้วยฟีเวอร์ด้วยหาเสียงออนไลน์ เมื่อเข้าใจสนามจริง จึงกลายร่างเป็นงูเพียบ
การวางฐานประชาธิปไตยเลือกตั้งอยู่บน ส.ส.เขตเป็นหลัก มันจึงแยกได้ยากจากผลประโยชน์ต่างตอบแทน หาทุนใช้ทุนถอนทุน เพียงแต่อย่าโทษนักการเมืองฝ่ายเดียว ชนชั้นนำอนุรักษ์ รัฐราชการ ร้ายกว่าอีก
การกำหนดระบบเลือกตั้งจึงมีส่วนสำคัญต่อการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ถ้าแยกแยะระบบเลือกตั้ง 62 โดยตัดด้านเลวร้ายคือ บัตรใบเดียวบังคับเลือกตัวบุคคลพร้อมพรรค ไม่ตัดเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำ สูตรคำนวณวิบัติ (ซึ่งถ้าตัดออกไปคือ MMP เยอรมัน) จะพบว่ามันให้โอกาสพรรคการเมืองที่หาเสียงโดยไม่ต้องใช้ระบบอุปถัมภ์ หาเสียงด้วยความคิดอุดมการณ์
ที่พูดนี้ไม่ใช่แค่อนาคตใหม่ แต่รวมถึงเสรีรวมไทย เพื่อชาติ หรือพรรคกำนัน สมัยหน้าอาจเป็นรวมไทยสร้างชาติ
พรรคเหล่านี้เป็นผู้แทนของเสียงข้างน้อยในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งหากใช้ระบบเดิมก็ถูกกินรวบ ไม่มีสิทธิมีเสียง ระบบหาร 100 ก็แพ้ซ้ำ
วิธีเปรียบเทียบระบบเลือกตั้งให้เห็นง่ายที่สุด ขอยกตัวอย่างเลือกตั้ง 62 บุรีรัมย์ ภูมิใจไทยชนะทั้ง 8 เขต แต่ได้ 3.4 แสนคะแนน คิดเป็น 43% พลังประชารัฐ 1.35 แสน 17% อนาคตใหม่ 1.1 แสน 14% เพื่อไทย 1 แสน 13%
ถ้าเป็นระบบก่อน 40 ภูมิใจไทยกินรวบ คะแนนเสียงคนบุรีรัมย์ 57% ทิ้งน้ำ ถ้าเป็นระบบ 40 “หาร 100” สมมติบัตรสองใบได้ไล่เลี่ยกัน (3.5 แสนคะแนนได้ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน) ภูมิใจไทยได้ 8+1 คน พรรคอื่นได้ 1/3 คน
แต่พอเป็นระบบ 60 (7 หมื่นคะแนนได้ ส.ส.1 คน) ภูมิใจไทยได้ ส.ส.5 คน (อีก 3 คนต้องเอาคะแนนจังหวัดอื่นมาชดเชย) พปชร.ได้ปาร์ตี้ลิสต์เกือบ 2 คน อนาคตใหม่ เพื่อไทย พรรคละ 1.5 คน (แต่เพื่อไทย overhang ไปแล้ว)
คนส่วนใหญ่ไม่เห็นจุดนี้ เพราะฝังใจปมอุบาทว์บัตรใบเดียวสูตรเศษมนุษย์ แล้วก็พลอยปฏิเสธระบบ MMP
การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็น “สงครามบ้านใหญ่” แย่งชิง 400 เขต ซึ่งอาจจะกลายเป็นการเลือกตั้งสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะเดิมพันสูง ขณะที่คนกรุงเทพฯ เพิ่งเลือกชัชชาติล้นหลาม เกือบ 1.4 ล้านคะแนน
ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ อาจยอมรับกันว่าชนะเพราะต้านประยุทธ์ (แม้บ้านใหญ่เยอะเหมือนกัน) แต่ถ้าพรรคที่หนุนรัฐประหารสืบทอดอำนาจชนะ ความเกลียดชังจะปะทุคุคั่ง “สองนคราประชาธิปไตย” จะกลับมา ทั้งจากคนชั้นกลางในเมืองและเสียงข้างน้อยใน 400 เขต
อย่างไรก็ตาม สองนคราครั้งนี้แตกต่าง เพราะคนชั้นกลาง รุ่นใหม่รู้แล้วว่า รัฐประหารและชนชั้นนำอนุรักษ์นั่นเอง ชุบเลี้ยงการเมืองอุปถัมภ์ไว้ทำลายประชาธิปไตย