เพื่อไทย จี้ ‘ประยุทธ์’ เจรจาโรงไฟฟ้าเอกชน ลดกำไรช่วยประชาชน ในช่วงวิกฤต หลังค่าไฟสูงขึ้น ประชาชนลำบาก รายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม
จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย สาเหตุหลักๆ มาจากการที่ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว เพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและพม่าที่ปริมาณลดลง รวมทั้งราคาพลังงานที่ผันผวน ส่งผลให้ต้นทุนของการผลิตไฟฟ้าปรับเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2565 นายกิตติกร โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ การพลังงาน สภาฯ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือ กฟผ.แบกรับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลสั่งชะลอการปรับค่าเอฟทีมาหลายปี ส่งผลให้รายได้ กฟผ.หายไป 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ยังอยู่ระหว่างการรอเรียกเก็บจากประชาชน ปัจจัยดังกล่าวทำให้กฟผ.ขาดกระแสเงินสด กฟผ.หมดทางเลือก จำเป็นต้องขึ้นค่าเอฟที ไม่เช่นนั้นจะกระทบกับรายได้และการบริหารงานของหน่วยงานอย่างแน่นอน
นายกิตติกร กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ทำสัญญากับกฟผ.เพื่อขอลดราคา พร้อมจ่ายที่มีการตกลงกันไว้ แม้โรงไฟฟ้าเอกชนจะผลิตไฟฟ้ายังไม่เต็มจำนวน ควรขอลดกำไรจากที่รัฐต้องจ่าย เรียกว่าล็อกกำไรล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 20-30 ปี ดังนั้น รัฐบาลขอแบ่งกำไรจากเอกชนประมาณ 1-2 ปีมาช่วยพี่น้องประชาชนในช่วงวิกฤตของประเทศ เพราะปัจจุบันกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยมีมากเกินความจำเป็น
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องกล้าที่จะทำเพื่อประชาชน อย่าเกรงใจเอกชนเจ้าของโรงไฟฟ้า เพราะผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเหล่านี้ไม่ต่างจากเสือนอนกิน อย่าเลือกผลักภาระมาให้ประชาชน แต่ควรต้องเร่งหามาตรการช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นให้กับประชาชน เพราะสภาพเศรษฐกิจและการทำมาหากินของประชาชนลำบากมาก รายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม ประกอบกับค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นส่งผลให้หลายครอบครัวประสบปัญหาสูงขึ้น ขอพล.อ.ประยุทธ์แสดงความตั้งใจช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่มากกว่านี้” นายกิตติกร ระบุ