“ชญาภา” จี้รัฐบาลทบทวนหลังอ้าแขนรับผู้นำศรีลังกาลี้ภัยเข้าไทย ลั่นอย่าอ้างหนีร้อนพึ่งเย็น ตอก “ประยุทธ์” ลงจากอำนาจได้แล้ว
เมื่อวันที่ 13 ส.ค. น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีรัฐบาลไทยอ้าแขนรับอนุญาตให้นายโกตาบายา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดีศรีลังกา เดินทางลี้ภัยมาพำนักในประเทศไทย หลังการลุกฮือของประชาชนที่ออกมาประท้วงขับไล่ จากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวผิดพลาดจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจพังทลาย ว่า รัฐบาลไทยควรทบทวนท่าทีหรือไม่ หลังนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ อ้างว่าเป็นการหนีร้อนมาพึ่งเย็นในยามยาก
ซึ่งรัฐบาลไทยควรพิจารณาอย่างรอบด้านประกอบกัน โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในนานาประเทศ การอนุญาตของรัฐบาลไทยพร้อมออกมาแสดงความเห็นเรื่องสิทธิมนุษยชน จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเลือกปฏิบัติกับคนกลุ่มอื่นๆ ที่เข้าลี้ภัยมาไทย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านที่หนีภัยสงครามหรืออีกหลายๆ กลุ่ม ซึ่งพวกเขาก็หนีร้อนมาพึ่งเย็นเช่นกัน
แต่ที่ผ่านมาไม่ได้รับการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนตามที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มักกล่าวอ้าง ในทางกลับกันการลี้ภัยเพื่อหนีจากความโกรธแค้นของประชาชนจากการบริหารประเทศผิดพลาดล้มเหลว กลับได้รับการขานรับจากรัฐบาลไทยเป็นอย่างดีเสมือนมองตาแล้วรู้ใจ ระวังคนจะเข้าใจว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เองก็อาจจะกำลังมองหาลู่ทางในลักษณะเดียวกันเผื่อไว้ในอนาคตข้างหน้าในวันที่หมดอำนาจวาสนาแล้วก็เป็นได้
น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกาเป็นบทเรียนครั้งสำคัญต่อผู้นำหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่ประชาชนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ และยังถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตศรัทธาในตัวผู้นำประเทศ อย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่มาจากการยึดอำนาจก่อการรัฐประหาร และเข้าสู่อำนาจด้วยกติกาไม่เป็นธรรม ไร้ความรู้ความสามารถในการแก้ปัญหาและบริหารประเทศจนล้มเหลวในทุกด้าน
ควรลงจากอำนาจเพื่อรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศที่ผิดพลาด แต่ก็ยังดันทุรังกอดอำนาจไว้ โดยไม่แยแสเสียงทัดทานและความทุกข์ยากของประชาชน แม้ว่าประชาชนออกมาขับไล่ทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมยุติบทบาทหลังอยู่ยาวมา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา จึงไม่แปลกใจหากรัฐบาลไทยมักจะมีท่าที หรือการตัดสินใจที่ย้อนแย้ง และสวนทางกับสถานการณ์โลกและนานาประเทศ