FootNote:ระฆังปรับครม. ก้อง กังวานขึ้นจากประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ
มีสัญญาณเล็กๆจากภายในของพรรคประชาธิปัตย์ อันจะก่อให้เกิดการปรับครม. ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงๆ นั่นหมายถึงการขยับขับเคลื่อนอย่างสำคัญของรัฐบาลก่อนเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง
สัญญาณนี้สอดรับกับกระแสและความเรียกร้อง ให้มีการปรับครม.จากภายในของพรรคพลังประชารัฐโดยอัตโนมัติ
ขณะเดียวกัน หากคำนึงถึงสภาพที่ดำรงอยู่ของคณะรัฐมนตรีภายหลังสถานการณ์เดือนกันยายน 2564 ก็ถือว่ามีเหตุผลพร้อมมูลที่จะปรับครม.
ไม่ว่าเพื่อเติมเต็ม 2 ตำแหน่งที่ว่างลงคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์
ไม่ว่าเพื่อจัดระเบียบและปรับกระบวนการทางการเมืองก่อน เข้าสู่โหมดแห่งการเลือกตั้งในทางเป็นจริงซึ่งเวลาเหลืออยู่เพียง 6-7 เดือนข้างหน้า
การขยับของพรรคพลังประชารัฐ การขยับของพรรคประชาธิปัตย์ จึงเท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขและสร้างความชอบธรรมให้กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คำถามอยู่ที่ว่าจะเป็นการปรับขนาด “ย่อย” หรือว่าจะเป็นการปรับขนาด “ใหญ่”
ปมแห่งการปรับครม.จึงมิได้อยู่ที่ความต้องการของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งต้องการปรับเพื่อผ่องถ่ายและแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งภายใน
หากแต่อยู่ที่การรุกอย่างต่อเนื่องของพรรคพลังประชารัฐโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “กระทรวงมหาดไทย” มากกว่า
เนื่องจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นตำแหน่งของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 ตราบกระทั่งปัจจุบัน
ไม่เพียงมีบทบาทร่วมในการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 หากแต่ยังทำงานสนองให้กับคสช.และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่วแน่และมั่นคง
โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเข้าไปแทนที่
การตัดสินใจปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงสะท้อนเอกภาพภายใน “กลุ่ม 3 ป.” หากและเป็นความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างแหลมคมด้วย
ความหมายก็คือ เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ป. กับ 1 ป.
ความหมายก็คือ จะมอบอนาคตทางการเมืองไว้กับใครในระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เป็นหลักประกันเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปต่อ