การเมืองผันผวนช่วง 7 วันก่อนศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” เมื่อร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นำพรรคเศรษฐกิจไทยประกาศตัดขาดความสัมพันธ์รัฐบาล เพื่อแสดงจุดยืนการเมืองชัดเจน หลังพบความปราชัยในสนามเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 4 ลำปาง
การย้ายขั้วสลับข้างมาอยู่กับฝ่ายค้านของพรรคเศรษฐกิจไทย ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้น มีความร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ในสภาพความเป็นจริง หลังโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ พบว่ารัฐบาลมีเสียงทิ้งห่างฝ่ายค้านเกินกว่า 80 เสียง ปัจจุบันต่อให้รวมกับพรรคเศรษฐกิจไทย เสียงฝ่ายค้านก็ยังไม่มากพอล้มรัฐบาลได้
ถึงกระนั้นรัฐบาลก็ประมาทไม่ได้อยู่ดี
นับจากการเลือกตั้ง กทม. ต่อเนื่องกรณีนิด้าโพล ล่าสุดผลเลือกตั้งซ่อมเขต 4 ลำปาง สะท้อนชัดว่ากระแสพรรคฝ่ายประชาธิปไตยกำลังเฟื่องฟู ส่วนฝ่ายรัฐบาลอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง
รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหลือเวลาทำงานอีก 8 เดือน ก่อนครบ 4 ปีเดือนมีนาคมปีหน้า จะอยู่ถึงหรือไม่ หลายคนสงสัย เพราะยังต้องฝ่าด่านมรสุมใหญ่ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และปมวาระนายกฯ 8 ปี
แน่นอน ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้น ด้วยจำนวนเสียงแตกต่างกันมาก ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ฝ่ายค้านไม่มีทางคว่ำรัฐบาลได้ แต่ก็เชื่อว่าจะสร้างบาดแผลให้รัฐบาล ทำให้ความนิยมตกต่ำลงไปอีก
รวมถึงด้านเสถียรภาพภายใน ที่ไม่รู้หลังจากนี้พรรคร่วมจะมีท่าทีอย่างไรต่อการร่วมรัฐบาล
แม้เสียงส.ส.รัฐบาลในสภาจะเหลืออยู่มาก แต่เมื่อพรรคเศรษฐกิจไทยประกาศถอนตัวหลังแพ้เลือกตั้งซ่อม
ด้วยเหตุผลว่า กระแสประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง เขาไม่เอารัฐบาล
เมื่อเป็นดังนั้น จึงมีการวิเคราะห์ต่อยอดออกไป ปรากฏการณ์พรรคเศรษฐกิจไทยถอนตัว อาจทำให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องหันกลับมาพิจารณาทบทวน ว่าจะเดินตามแนวทางนี้ด้วยหรือไม่
อาจไม่ใช่การตัดสินใจปัจจุบันทันด่วน แต่ก็ต้องให้ชัดเจนและเร็วพอ เพื่อประชาชนจะได้ไม่สับสนเมื่อการเมืองปรับเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน
จดจำกรณีพรรคเศรษฐกิจไทยเป็นบทเรียน จะได้ไม่ซ้ำรอยพ่ายแพ้