ขอนแก่น หนุ่มวัย 31 ปี ปลงกับชีวิต สิ้นศรัทธากับตำรวจ หลังถูกโจรขึ้นบ้านขโมยเอาทรัพย์สินมีค่าช่วงที่ออกไปทำงานกลางวันแสกๆ 6 ครั้ง ระยะเวลา 3 เดือน เข้าแจ้งความแต่คดีไม่คืบ เจ้าของบ้านต้องย้ายออกจากบ้านไปเช่าห้องพักอยู่อาศัย กลัวอันตรายยามค่ำคืน
6 ก.ค. 2565 – เพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” ได้โพสต์ภาพและข้อความร้องเรียนจากลูกเพจ ที่ขอความช่วยเหลือ เป็นเหตุการณ์ที่บ้านถูกโจรเข้าไปขโมยทรัพย์สินยก 6 ครั้งในช่วงไม่กี่เดือน และยังจับคนร้ายไม่ได้ จึงขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยระบุว่า “ผมโดนโจรขึ้นบ้าน 6 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 65 จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ของหายหลายอย่าง จนล่าสุดโดนโจรตัดสายไฟแล้ว อยู่ไม่ไหวได้มาเช่าห้องพักอยู่ แจ้งความก็ไม่มีความคืบหน้าเลยครับ ทั้ง ๆ ที่ สภ.ย่อย ห่างจากบ้านผมแค่ 1 กิโลเมตรกว่าๆ รบกวนจ่าเป็นกระบอกเสียงให้ผมหน่อยครับ” พร้อมกับมีการให้รายละเอียดในวันเวลาที่ถูกโจรขึ้นบ้านและทรัพย์ที่สูญหาย
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านหลังเกิดเหตุ ตั้งอยู่เลขที่ 383 บ้านดอนบม หมู่ 13 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น ริมสะพานข้ามลำน้ำชี ได้พบกับนายนิธิพันธ์ ม่วงคร้าม อายุ 31 ปี เจ้าของบ้าน ได้พาผู้สื่อข่าวสำรวจดูบริเวณบ้านและในบ้าน ซึ่งสภาพตัวบ้านมีสภาพชำรุดทรุดโทรมจากการถูกน้ำท่วม ในวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ที่ขอนแก่น เมื่อปลายปี 2564 และบริเวณโดยรอบมีต้นไม้และหญ้าขึ้นปกคลุม
ส่วนภายในบ้านพบว่า ข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างที่อยู่ในห้องถูกยกขึ้นไว้บนที่สูงหนีน้ำท่วม ตั้งแต่ปลายปี 2564 โดยในขณะที่นายนิธิพันธ์ พาผู้สื่อข่าวสำรวจดูในบ้าน พบว่า หน้าต่างบริเวณหน้าบ้านที่ปิดไว้ ถูกงัดจนหน้าต่างหลุดออก
จึงรีบพาผู้สื่อข่าวขึ้นไปสำรวจดูบนชั้น 2 ของบ้าน ก็พบว่า ฝาปิดตู้เก็บของและลิ้นชักถูกเปิดออก ขณะเดียวกันกล่องที่ตนเองเก็บของใช้ต่างๆ ไว้ก็ถูกรื้อค้น และยังมีรอยนิ้วมือของคนร้ายติดอยู่ที่กล่องโทรศัพท์มือถือ จึงมั่นใจว่า มีคนร้ายเข้ามารื้อค้นหาทรัพย์สินมีค่าในช่วงที่ตนเองไม่อยู่บ้านอีกครั้งแน่นอน
จากนั้น นายนิธิพันธ์ จึงพาสำรวจดูจุดต่างๆ ของบ้านที่ถูกคนร้ายรื้อค้น และงัดแงะหน้าต่างบ้านเข้ามาขโมยของในหลายจุด รวมทั้งจุดเกิดเหตุครั้งล่าสุดที่ทำให้ต้องตัดสินใจย้ายออกจากบ้านไปเช่าห้องพักในเมืองขอนแก่นอยู่อาศัย คือ จุดที่คนร้ายเข้ามาตัดเอาสายไฟฟ้าซึ่งเป็นสายเมนหลักที่ต่อไฟฟ้าเข้ามาบ้าน ความยาวกว่า 100 เมตร ได้ถูกคนร้ายเข้ามาตัดไป จนทำให้บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้
นายนิธิพันธ์ เล่าว่า บ้านและที่ดินตรงนี้ เป็นที่มรดกของครอบครัวที่เคยอยู่อาศัย หลายปีก่อนครอบครัวเคยประกอบธุรกิจร้านอาหาร แต่ต้องหยุดไปหลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 พ่อ แม่ และสมาชิกในครอบครัวจึงย้ายไปอยู่ที่ กทม. โดยปล่อยบ้านไว้แบบไม่มีใครอยู่อาศัย ส่วนตนเองหลังเรียนจบก็ไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ จ.ระยอง อยู่หลายปีจนรู้สึกอิ่มตัว
จึงตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่พออยู่มาได้สักพักก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ขอนแก่น เมื่อปลายปี 2564 ตนเองจึงต้องย้ายไปทำงานกับพ่อและแม่ กทม. หลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง ตนเองจึงกลับมาบ้านที่ขอนแก่นอีกครั้ง โดยยึดอาชีพดริปกาแฟขายในเขตเทศบาลนครขอนแก่น โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้
ซึ่งตั้งใจว่า จะค่อยๆ หาเงินมาปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ดีขึ้น แต่หลังจากไปขายกาแฟได้ 2 วัน ตนเองก็ถูกโจรขึ้นบ้านในช่วงกลางวัน ที่ตนออกไปขายกาแฟ ครั้งแรกในวันที่ 17 มี.ค.65 คนร้ายได้ โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง ไอแพต 1เครื่อง แท็บเล็ต 1 เครื่อง, ครั้งที่ 2 วันที่ 27 มี.ค. 65 คนร้ายเข้ามางัดตัวบ้านรอบนอก ได้จอบ เสียม และอุปกรณ์ต่างๆ ไป
ครั้งที่ 3 วันที่ 4 เม.ย.65 กล้องวงจรปิดที่ตนเองซื้อมาติดไว้ในบ้าน หลังถูกคนร้ายเข้ามาบ้าน 2 ครั้งก่อน สามารถจับภาพคนร้ายงัดบ้าน แต่ยังไม่ได้เข้าในตัวบ้าน ตนเองจึงแจ้งความ, ครั้งที่ 4 วันที่ 28 มิ.ย.65 โดนตัดสายไฟฟ้าที่เป็นสายเมนหลักเดินไฟฟ้าเข้าในตัวบ้าน ทำให้ไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้
ครั้งที่ 5 วันที่ 29มิ.ย.65 คนร้ายได้ขึ้นบ้านแล้วขโมยของในบ้านโดยมีของหายคือ กล้องวงจรปิด ลำโพงหูฟัง ถังแก๊ส และครั้งที่ 6 ที่คนร้ายเข้างัดบ้านเพื่อหาสิ่งของมีค่า แม้กระทั้งไม้ช็อตยุงและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังถูกขโมยไป กระทั้งครั้งนี้ที่พาผู้สื่อข่าวมาดู ก็ยังพบว่ามีคนร้ายเข้ามาขโมยของที่บ้านอีก
จากการที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุถึง 6 ครั้ง ตอนนี้ตนเองรู้สึกปลงกับชีวิตและรู้สึกหมดศรัทธากับตำรวจในท้องที่ เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุครั้งแรก ที่ตนเองไปแจ้งความคดีก็ยังไม่คืบหน้า ทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปก็ยังไม่ได้คืนแม้แต่ชิ้นเดียว
ที่สำคัญคือ ไม่เคยได้รับการตอบกลับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่บ้านตนเองอยู่ห่างจาก สภ.ย่อยเมืองเก่าประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น และเหตุการณ์ก็เกิดในช่วงกลางวันทั้งหมด มีครั้งหนึ่งที่ตนเองและเพื่อน มาประสบเหตุในช่วงที่คนร้ายเข้ามาขโมยของในบ้าน จึงช่วยกันล็อคตัวคนร้ายไว้ ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มาควบคุมตัวไปสอบสวนดำเนินคดี
แต่กว่าที่จะมาก็เกือบ 20 นาที ซึ่งหากตอนนั้นคนร้ายมีอาวุธต่อสู้ ตนเองกับเพื่อนก็คงได้รับอันตรายไปแล้ว และเมื่อคุมตัวคนร้ายไป สภ.ย่อยเมืองเก่า หลังสอบสวนเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังปล่อยให้คนร้ายเดินมาหาตนเอง เพื่อให้คนร้ายมาเจรจาว่า ให้ตนเองถอนแจ้งความและไม่เอาเรื่องได้หรือไม่ ทำให้ตนเองรู้สึกตกใจมากว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำแบบนี้ได้อย่างไร
ทำให้ตนเองรู้สึกหมดศรัทธากับตำรวจท้องที่มากๆ เพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย ตนเองจึงตัดสินใจเขียนเล่าเรื่องและร้องเรียนไปยังเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง เพื่อหวังว่าจะมีหน่วยงานใด หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับบัญคับบัญชาจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้
แต่พอเพจเฟซบุ๊คโพสต์เรื่องราวนี้ออกไป ก็มีคนเข้ามาตำหนิว่า ทำไมตนเองไม่ดูแลบ้านให้ดี ปล่อยให้บ้านร้าง ทำไมไม่หาวิธีป้องกัน ตนเองก็อยากจะบอกว่า บ้านหลังนี้เป็นมรดกของครอบครัว ไม่มีใครที่อยากให้บ้านทรุดโทรม แต่ด้วยเงื่อนไขของชีวิตที่ไม่ได้ร่ำรวย ตนเองก็ตั้งใจว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงซ่อมแซมบ้านไปทีละนิด แต่เมื่อทำไปก็มาถูกโจรมางัดแงะและขโมยไปตนเองก็ท้อใจ
หากใครที่มองว่า สภาพบ้านของตนเองมันเอื้อต่อโจรให้เข้ามาขโมยของ มันก็ไม่ต่างกับการที่คนบางกลุ่มมองว่า เพราะนักศึกษาผู้หญิงแต่งตัวโป๊ จึงถูกข่มขืน แต่กลับไม่โทษคนที่ข่มขืน ตนเองมองว่าวิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้
เช่นเดียวกันกับบ้านของตนเอง ต่อให้บ้านจะทรุดโทรมแค่ไหน มันก็คือบ้านของตนเอง ที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์รุกล้ำหรือเข้ามาขโมยของ เราควรจะไปเข้มงวดกับการจับโจรและกระตุ้นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมมากกว่า การมาตำหนิเจ้าของบ้านหรือไม่