-
การได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากพอที่จะสามารถป้องกันโรคและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมืออยู่เสมอ
-
วัคซีนไม่ว่าจากบริษัทใดก็ตาม ไม่สามารถต้านเชื้อโควิด-19 ได้ 100% จากการศึกษาและงานวิจัยของบริษัทผลิตวัคซีนต่างๆ พบว่า วัคซีนสามารถต้านเชื้อ โควิด-19 ได้ตั้งแต่ 50-95% ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
-
ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากฉีดวัคซีนไปแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ หรือปวดบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาลดไข้แก้ปวดได้ ไม่จำเป็นต้องทานไปก่อนล่วงหน้า
พญ.ชนัญญา ศรีหะวรรณ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า เนื่องจากโรคโควิด-19 นั้นเป็นโรคอุบัติใหม่ และวัคซีนโควิด-19 ก็เป็นเรื่องที่ยังใหม่มาก จึงมีข้อมูลการศึกษาและงานวิจัยออกมาน้อยมากๆ เช่นกัน ณ ตอนนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2021) ประเทศไทยเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และคนที่มีโรคประจำตัว แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความกังวลและมีคำถามเกี่ยวกับวัคซีนว่า ฉีดแล้วป้องกันได้จริงไหม ฉีดแล้วจะอันตรายไหม หรือฉีดแล้วใช้ชีวิตตามปกติได้เลยรึเปล่า
Q1: วัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้จริงหรือไม่?
A1: โดยทั่วไป หลักการของการผลิตวัคซีน คือ การเอาเชื้อโรคมาทำให้อ่อนแรงจนไม่สามารถทำให้เกิดโรคในร่างกายได้ จึงนำมาผลิตเป็นวัคซีนแล้วฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อให้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมา เหมือนกับในวัคซีนโควิด-19 มีการนำเอาเชื้อก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ มาทำเป็นวัคซีนแล้วฉีดเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เพื่อให้เราสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา โดยขณะนี้ วัคซีนโควิด-19 ที่ทุกประเทศผลิตผ่านการทดลองในขั้นตอนของสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว มีการฉีดให้อาสาสมัครที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก และมีการติดตามผลซึ่งพบว่าเป็นผลดี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาต่อไปว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ในระยะยาวหรือไม่ และอีกหนึ่งประเด็น คือ ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสโคโรนาที่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลาจึงยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า การฉีดวัคซีนนี้จะสามารถครอบคลุมการระบาดในระยะยาวได้หรือไม่ จำเป็นที่จะต้องฉีดทุกปีเหมือนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ยังมีข้อมูลไม่มาก ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะต้องติดตามต่อไป
Q2: วัคซีนโควิด -19 ของแต่ละประเทศ มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
A2: ขณะนี้ทุกประเทศทั่วโลกพยายามที่จะผลิตวัคซีน โควิด-19 ออกมาใช้ให้เร็วที่สุด ซึ่งกระบวนการผลิตและหลักการในการผลิตของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จึงทำให้วัคซีนในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างกัน จากข้อมูลของศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลบอกว่า วัคซีนที่มีการผลิตและมีแนวโน้มที่จะได้ผลในปัจจุบันนี้มี 4 แบบด้วยกัน คือ
- Inactivated Vaccine ของประเทศจีน โดยบริษัท SinoPharm, SinoVac Biotech และ Wuhan Institute of Biological Products วัคซีนชนิดนี้ คือ การเอาไวรัสทั้งตัวมาทำให้อ่อนแรงและฉีดเข้าไปในร่างกายของคน เพื่อทำให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการผลิตวัคซีนมาตรฐานของโรคชนิดอื่นๆ ที่ทำมาโดยตลอดเช่นเดียวกัน
- Adenovirus Vector Vaccine เป็นวิธีการผลิตของบริษัท CanSino ประเทศจีน บริษัท AstraZeneca ของประเทศอังกฤษ และ Gamaleya ของประเทศรัสเซีย ซึ่งก็คือการตัดต่อเอายีนของไวรัสโควิด-19 เข้าไปใส่ในตัว Adenovirus และผลิตเป็นวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย
- mRNA Vaccine เช่น Moderna วัคซีนตัวนี้ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวเดียวกับวัคซีนที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำมาพัฒนา ขณะนี้วัคซีนชนิดนี้เข้าสู่การทดลองระยะที่ 3 แล้ว สามารถกระตุ้นให้คนปกติและผู้สูงอายุเกิดภูมิคุ้มกันได้ดี นอกจากนั้น ยังมี Sputnik V จากประเทศรัสเซีย และ Pfizer จากประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีนประเภทนี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ซึ่งมีข้อดีคือผลิตได้ง่ายและรวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ประมาณ 95%
- Protein-based Vaccine ใช้เทคโนโลยีการผลิตโปรตีนของเปลือกไวรัส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีอยู่แล้วเพราะมีการใช้ในวัคซีนอื่น เช่น ตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ โดยจะมีการใส่ adjuvant ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในการผลิต ได้แก่ บริษัท Novavax ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ บริษัท Sanofi ร่วมมือกับบริษัท GSK
ปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลในเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีนในระยะยาวว่าภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ และต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นบ่อยแค่ไหน จึงต้องติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป
Q3: เมื่อได้รับวัคซีนป้องกัน โควิด-19 เข็มแรกแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคหรือไม่?
A3: การได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากพอที่จะสามารถป้องกันโรคและใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรายังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมืออยู่เสมอ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2021 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐหรือ CDC ได้มีประกาศฉบับใหม่แจ้งว่า หากได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว สามารถออกไปนอกบ้านหรือออกไปในพื้นที่เปิดโล่ง โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยได้ รวมถึงไปทานข้าวพบปะสังสรรค์กับบุคคลอื่นที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเช่นกัน แต่ยังคงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่างทางสังคม หากต้องไปทำกิจกรรมที่มีผู้คนหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำนี้ไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากมีการใช้วัคซีนคนละชนิดกัน ทั้งนี้ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงอาจเกิดความเสี่ยงในการติดโรคหรือแพร่เชื้อโรคต่อไปได้ ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนี้ แต่พบว่า แม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อหรือป่วยอีกได้ (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2021) สิ่งที่ควรทำที่สุดตอนนี้ คือ ทุกคนควรเฝ้าระวังสุขภาพของตัวเอง เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อ ป้องกันตัวเอง และหยุดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19
*ในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 64 (28 กุมภาพันธ์ 2021)
Q4: ทำไมมีคนเสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีน โควิด-19?
A4: วัคซีน คือ กระบวนการหนึ่งที่จะหยุดยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในวงกว้างได้ เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของโรคใดๆ กระบวนการของร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ทำให้เราไม่ป่วยเป็นโรคนั้น หรือถ้าป่วยก็มีอาการไม่รุนแรง การฉีดวัคซีน โควิด-19 ก็เช่นเดียวกัน จะทำให้ลดอาการป่วยลง หรือถ้ามีอาการป่วยก็จะไม่รุนแรง รวมถึงลดโอกาสการเสียชีวิตลงด้วย โดยทั่วไปเมื่อร่างกายได้รับวัคซีน ก็สามารถเกิดผลข้างเคียงได้ ตั้งแต่ผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงมาก เช่น เสียชีวิต หรือผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงน้อยๆ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีอาการผื่นคัน การเสียชีวิตส่วนมากแล้วมักเกิดจากการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง รวมถึงการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีน
Q5: ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน โควิด-19?
A5: เนื่องจากโรคโควิด-19 ระบาดรุนแรงไปในทุกกลุ่มประชากร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว หรือผู้สูงวัย ในขณะที่วัคซีนก็ยังผลิตได้ไม่มาก จึงอาจจะเกิดคำถามว่า ใครบ้างที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกๆ
องค์การอนามัยโลกมีคำแนะนำว่า กลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงและสมควรที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกๆ มีทั้งหมด 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
- กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเนื่องจากมีการสัมผัสกับโรคโดยตรง จึงควรที่จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อที่จะดูแลคนป่วยคนอื่นๆ ต่อไป
- กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่ำ หากมีการติดเชื้อก็อาจมีการเจ็บป่วยที่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น
- กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและจำเป็นต้องได้รับวัคซีนในกลุ่มแรกๆ เช่นเดียวกัน
ในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2021) เนื่องจากมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 จะมีกลุ่มอื่นๆ ของประชากรที่ทยอยได้รับวัคซีนบ้างแล้ว ได้แก่ ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือจังหวัดที่มีการระบาดเป็นจำนวนมาก เช่น กรุงเทพมหานคร เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลประกาศให้ประชาชนทุกกลุ่มที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนได้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ เราก็ยังจำเป็นต้องรักษามาตรการต่างๆ ทางสาธารณสุขเอาไว้ ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และรักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและไม่ควรละเลย อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมาก และสามารถป้องกันตัวเราได้เช่นกัน
Q6: ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แค่ครั้งเดียวพอหรือไม่?
A6: มีวัคซีนหลายชนิด ที่ฉีดเพียงครั้งเดียวก็เกิดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เช่น วัคซีนป้องกันงูสวัด สำหรับไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน (11 Mar 2021) ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวนั้นเพียงพอหรือไม่ เพราะด้วยความที่วัคซีนโควิด-19 เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นใหม่ มีการฉีดและใช้กับผู้คนยังไม่เกิน 1 ปี ต้องมีการติดตามต่อไปว่าในระยะยาวแล้ว ภายใน 1 ปี ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ ระดับของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นลดลงไปในระยะเวลานานเท่าไหร่
ทั้งนี้ มีแนวโน้มสูงมากว่า การฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสที่อยู่ในตระกูลโคโรนา ซึ่งมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นไปได้ว่า วัคซีนที่ผลิตในวันนี้อาจจะไม่ครอบคลุมการระบาดซึ่งเกิดจากตัวไวรัสที่กลายพันธุ์ไปแล้ว จึงต้องมีการติดตามต่อไปเป็นระยะ ดังนั้น มาตรการทางสาธารณสุขก็ยังมีความจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการรักษาระยะห่างทางสังคม
Q7: ทำไมฉีดวัคซีนต้าน โควิด-19 แล้ว จึงยังติดเชื้อได้อยู่?
A7: สิ้นเดือนมกราคม ปี 2564 วัคซีนจำนวนหนึ่งล้านโดส ได้ถูกฉีดออกไปทั่วโลก หรือประมาณ 50 ล้านคนได้ฉีดวัคซีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมยังมีข่าวว่าคนที่ได้รับวัคซีนถึงยังติดเชื้อโควิด-19 อยู่
- ปัจจัยที่ 1 ระยะเวลาในการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย วัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะต้องฉีดให้ครบ 2 เข็ม ร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ถ้าเราได้รับเชื้อระหว่างที่ร่างกายยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มที่ หรือสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงบางส่วน เราจึงยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่
- ปัจจัยที่ 2 วัคซีนไม่ว่าจากบริษัทใดก็ตาม ไม่สามารถต้านเชื้อโควิด-19 ได้ 100% จากการศึกษาและงานวิจัยของบริษัทผลิตวัคซีนต่างๆ ที่เปิดเผยออกมาตอนนี้ พบว่า วัคซีนสามารถต้านเชื้อโควิด-19 ได้ตั้งแต่ 50-95% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
- ปัจจัยที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดกล่าวว่า การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้ แต่เรื่องของการติดเชื้อนั้น ยังต้องศึกษาต่อไป ยังไม่ชัดเจนนัก ถึงแม้ว่าผู้ที่รับวัคซีนจะมีโอกาสติดเชื้อได้ แต่ไวรัสในตัวจะมีน้อยกว่าและอาการจะเกิดขึ้นน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
- ปัจจัยที่ 4 วัคซีนไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษา นั่นหมายความว่า ถ้าเราติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้ทำให้เชื้อโควิด-19 นั้นหายไป
โดยสรุปแล้ว ปัจจัยทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้น ทำให้เราพึงระวังและไม่ชะล่าใจจนเกินไป ถึงแม้ว่าเราจะฉีดวัคซีนแล้ว เราก็ยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่ดี
Q8: ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19?
- คืนก่อนที่จะไปฉีดวัคซีนพยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อที่วันที่ไปฉีดวัคซีนจะได้ตื่นเช้าด้วยความสดชื่น
- พยายามดื่มน้ำ 500 ซีซี ถึง 1ลิตรในเช้าวันนั้น แต่มีคำแนะนำว่า อย่าดื่มทีเดียว 500 ซีซี ถึง 1ลิตร เพราะหลายคนได้รับฟังคำแนะนำนี้แล้วไปดื่มจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ให้ค่อยๆ ทยอยดื่มไปเรื่อยๆ โดยน้ำที่ดื่มต้องเป็นน้ำสะอาด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว หากเราดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แล้วไปฉีดวัคซีนในวันนั้น อาจจะทำให้เราใจสั่นได้
- ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ หากฉีดวัคซีนไปแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ หรือปวดบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาลดไข้แก้ปวดได้ ไม่จำเป็นต้องทานไปก่อนล่วงหน้า
ทั้งนี้ เนื่องจาก วัคซีนโควิด-19 เป็นเรื่องที่ใหม่มาก ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามการศึกษาและงานวิจัยต่างๆ ในอนาคต เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้ประชาชนเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากผู้เชี่ยวชาญ หรือจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เท่านั้น