70 องค์กรภาคประชาสังคม ลงชื่อเรียกร้อง สว.-นักการเมือง หนุน ก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาล เพื่อเดินหน้าประชาธิปไตยและเคารพเสียงคนส่วนใหญ่
วันที่ 18 พ.ค.2566 องค์กรภาคประชาสังคมมากกว่า 70 องค์กร อาทิเช่น คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ กรีนพีซ-ประเทศไทย กลุ่มนอนไบนารีแห่งประเทศไทย(Non-Binary Thailand)
เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี-ประเทศไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สถาบันปรีดี พนมยงค์ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
รวมทั้งนักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม และประชาชนกว่า 393 คน ลงชื่อเรียกร้องต่อสมาชิกวุฒิสภา นักการเมือง และพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเดินหน้าประชาธิปไตย และเคารพเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยในข้อเรียกร้อง ชี้ให้เห็นว่า แม้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยวิถีประชาธิปไตย โดยเลือกพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ รวม 313 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม
แต่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจถูกขัดขวางจากสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 โดยการลงมติไม่เห็นชอบ หรือไม่ออกเสียงเมื่อมีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการกระทำดังกล่าวขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย และจะก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองตามมา จึงมีข้อเรียกร้อง 2 ประการคือ
1. ให้สมาชิกวุฒิสภาลงมติสนับสนุนชื่อนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเสนอชื่อของพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเดินหน้าการเปลี่ยนผ่านไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เคารพต่อเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนมากกว่าจะมุ่งสืบทอดอำนาจกลุ่มบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากคณะรัฐประหาร
2. เรียกร้องให้สมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรคการเมือง ลงคะแนนเสียงสนับสนุนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีดังกล่าว แม้พรรคการเมืองของตนจะไม่ได้รับคะแนนเสียงข้างมาก เพื่อเคารพคะแนนเสียงเลือกตั้งจากประชาชน และแสดงเจตนารมณ์ว่าตนและพรรคการเมืองของตนนั้นยึดมั่นต่อวิถีการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น
โดยในท้ายคำแถลงได้ระบุว่า “การลงคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา และพรรคการเมืองตามข้อเรียกร้องนี้ มิใช่เป็นข้อเสนอเพื่อสนับสนุนบุคคลใด หรือพรรคการเมืองใดให้เป็นนายรัฐมนตรีและรัฐบาล แต่เป็นข้อเรียกร้องโดยประสงค์มิให้วุฒิสภาและคณะรัฐประหารเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งและสร้างปัญหาทางการเมืองขึ้นมาเสียเอง
เพราะนี่คือห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนผ่านกติกาทางการเมืองที่ให้อำนาจคณะรัฐประหารมีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไปสู่วิถีการเมืองแบบประชาธิปไตยด้วยสันติวิธีเยี่ยงนานาอารยประเทศ โดยผ่านการลงคะแนนเสียงของประชาชนทั่วประเทศ”