เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีพ.ศ. 2567 หรือ ค.ศ. 2024 กันแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าตลอดปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่างๆ เหตุการณ์มากมายทั้งเรื่องร้ายและเรื่องดี เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ที่หมุนไปตามครรลองของมันอย่างที่เคยเป็นมา
พื้นที่ตรงนี้ ทีมข่าว Sanook News ขอพาทุกท่านย้อนไปชมว่ามีข่าวหรือเหตุการณ์ใดในต่างประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2024 ที่กำลังจะผ่านพ้น ระดับที่เรียกได้ว่า “สนั่นโลก” จนส่งผลกระทบต่อประชากร, เศรษฐกิจ, สุขภาพ และความมั่นคงระดับนานาชาติกันบ้าง เชิญติดตามได้เลย
————————————-
“โดนัลด์ ทรัมป์” โดนลอบสังหารแต่รอดชีวิต ก่อนชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
วันที่ 13 กรกฎาคม 2024 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 45 และว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ถูกยิงและบาดเจ็บที่หูขวา ขณะปราศรัยหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและพยานระบุว่าผู้ก่อเหตุยิงปืนจากหลังคาด้านนอกสถานที่ชุมนุมด้วยปืนเล็กยาวเออาร์-15 ก่อนที่จะถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยหน่วยจู่โจมตอบโต้ของกรมกิจลับสหรัฐ ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุเป็นชายวัย 20 ปี ที่มีถิ่นพำนักในรัฐดังกล่าว
หลังจาก ทรัมป์ ถูกยิงที่หูขวา เจ้าหน้าที่กรมกิจลับสหรัฐฯ เข้าล้อม ทรัมป์ อย่างรวดเร็ว เขาชูกำปั้นขึ้นไปในอากาศหลายครั้งก่อนที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ จากนั้น ทรัมป์ ได้รับการส่งตัวไปโรงพยาบาลและได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้น เขาเดินทางโดยเครื่องบินต่อไปยังรัฐนิวเจอร์ซีย์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางและท้องถิ่นรายงานว่ามือปืนและผู้เข้าร่วมการหาเสียง 1 คนเสียชีวิต ขณะที่ผู้เข้าร่วมอีก 2 รายได้รับบาดเจ็บสาหัส
มีการสอบสวนเหตุดังกล่าวว่าเป็นการพยายามลอบสังหาร โดยเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันหรืออดีตประธานาธิบดีได้รับบาดเจ็บจากการพยายามลอบสังหารนับตั้งแต่ที่อดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ถูกลอบสังหารในปี 1981 และเป็นครั้งแรกที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถูกลอบสังหารนับตั้งแต่การพยายามลอบสังหาร จอร์จ วอลเลซ ในปี 1972
หลังจากนั้น ทรัมป์ เตรียมหวนคืนสู่ทำเนียบขาวเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการชี้ชัดถึงชัยชนะเหนือ กมลา แฮร์ริส ตัวแทนชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต
————————————-
“SpaceX” ประสบความสำเร็จใช้แขนกลจับจรวดลงจอดได้เป็นครั้งแรกของโลก
วันที่ 13 ตุลาคม 2024 บริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ประสบความสำเร็จในการทดสอบส่งจรวดขนาดใหญ่ สตาร์ชิพ (Starship) และสามารถใช้แขนกลในการจับชิ้นส่วนด้านล่างของจรวดที่ตกลงมาเอาไว้ได้
จรวดสตาร์ชิพซึ่งมีความสูงเกือบ 121 เมตร พุ่งออกฐานยิงทางภาคใต้ของรัฐเท็กซัสใกล้กับชายแดนเม็กซิโกในวันอาทิตย์ และวนรอบอ่าวเม็กซิโกก่อนที่จะเดินทางข้ามโลกไปตกลงในมหาสมุทรอินเดีย
แต่ที่สร้างเสียงฮือฮามากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ คือการที่ส่วนล่างของจรวดที่ตกลงมาหลังจากจรวดถูกปล่อยออกไปแล้วนั้น สามารถกลับสู่แท่นยิงได้สำเร็จด้วยการใช้แขนกลขนาดใหญ่จับเอาไว้
แขนกลที่ติดตั้งไว้กับแท่นปล่อยจรวดนั้นมีชื่อเรียกว่าว่า chopsticks หรือ “ตะเกียบ” ที่ทำหน้าที่ยึดส่วนล่างของจรวดหรือ บูสเตอร์ ซึ่งมีความสูง 71 เมตรนั้นเอาไว้
เคท ไทซ์ แห่งบริษัทสเปซเอ็กซ์ กล่าวว่า “นี่คือวันที่ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าด้านวิศวกรรม”
การนำส่วนล่างของจรวดกลับมาใช้ใหม่นี้จะช่วยให้ทางบริษัทสามารถประหยัดเงินได้หลายล้านดอลลาร์ และช่วยเร่งการพัฒนาการปล่อยจรวดของสเปซเอ็กซ์ได้อย่างมาก
ทั้งนี้ จรวดสตาร์ชิพ คือจรวดขนาดใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องยนต์เชื้อเพลิงมีเธนในบูสเตอร์
องค์การอวกาศสหรัฐฯ หรือ นาซ่า มีโครงการส่งจรวดสตาร์ชิพของสเปซเอ็กซ์พร้อมนักบินอวกาศไปลงบนดวงจันทร์ภายในทศวรรษนี้ ขณะที่บริษัทสเปซเอ็กซ์เองตั้งเป้าใช้จรวดขนาดใหญ่ลำนี้ในการขนส่งมนุษย์และสัมภาระต่างๆไปยังดวงจันทร์ รวมทั้งดาวอังคารในอนาคต
————————————-
“ยาห์ยา ซินวาร์” ผู้นำกลุ่มฮามาสโดนสังหาร
วันที่ 18 ตุลาคม 2024 รอยเตอร์ (Reuters) และบีบีซี (BBC) รายงานว่า ยาห์ยา ซินวาร์ (Yahya Sinwar) ผู้นำหมายเลขหนึ่งของฮามาส ถูกทหารอิสราเอลสังหารระหว่างการยิงต่อสู้กัน ทางใต้ของฉนวนกาซาเมื่อวันพุธที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยที่เริ่มแรกทหารอิสราเอลไม่รู้ว่าได้จับตัวศัตรูหมายเลขหนึ่งไว้ได้แล้ว
กองทัพอิสราเอล (IDF) กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังการสังหาร ซินวาร์ว่า หลายเดือนแล้วที่หน่วยข่าวกรองออกค้นหา ซินวาร์ และค่อยๆจำกัดพื้นที่ที่ ซินวาร์ สามารถปฏิบัติการได้ หลังจากหลักฐานบันทึกทางทันตกรรม ลายนิ้วมือ และการทดสอบดีเอ็นเอยืนยันการเสียชีวิตของ ซินวาร์ ได้ในที่สุด
ในช่วงหลายเดือนสุดท้ายของชีวิต ซินวาร์ ผู้วางแผนคนสำคัญในการโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งจุดชนวนให้เกิดสงครามในฉนวนกาซา ดูเหมือนจะหยุดใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ ที่อาจช่วยให้หน่วยข่าวกรองอิสราเอลติดตามตัวได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อิสราเอล ซึ่งทราบดีว่า ซินวาร์ เป็นศัตรูที่โหดร้ายและเด็ดเดี่ยวนั้น กังวลมานานแล้วว่า ซินวาร์ ได้วางตัวประกันไว้รอบตัว เพื่อเป็นโล่มนุษย์สำหรับปกป้องตัวเองจากการโจมตีของอิสราเอล ทำให้การสังหาร ซินวาร์ นับเป็นการเริ่มต้นยุคที่จะไม่มีฮามาส และทำให้ฮามาสไม่ได้ปกครองกาซาอีกต่อไป
“นี่คือจุดเริ่มต้นของวันถัดจากกลุ่มฮามาส และนี่คือโอกาสสำหรับชาวกาซา ที่จะปลดปล่อยตัวเองจากการกดขี่ข่มเหงในที่สุด” เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล กล่าวในแถลงการณ์ผ่านวิดีโอ
————————————-
“ปธน.เกาหลีใต้” ประกาศใช้กฎอัยการศึกในรอบ 45 ปี ก่อนโดนกระแสตีกลับ
วันที่ 3 ธันวาคม 2024 ประธานาธิบดียุนซอกยอล ประกาศใช้กฎอัยการศึกฉุกเฉินเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปีของเกาหลีใต้ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติตอน 23:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยพูดถึงเรื่องความมั่นคงของชาติและภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ก่อนจะกล่าวโจมตีพรรคฝ่ายค้านอย่างหนัก ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า มีแรงจูงใจจากความพ่ายแพ้ทางการเมืองหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี กฎอัยการศึกทำให้เกิดการประท้วงขึ้นในทันที ประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันที่หน้าอาคารรัฐสภา ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงปิดล้อม ขณะที่สมาชิกสภาแห่งชาติ เร่งเดินทางเข้าไปภายในสภา บางคนถึงกับต้องปีนกำแพงเข้าไป และลงมติคัดค้านกฎอัยการศึก และเรียกร้องให้ ประธานาธิบดียุนซอกยอล ยกเลิกคำสั่ง
เวลาประมาณ 01:00 น. สมาชิกรัฐสภาแห่งชาติ ลงมติเห็นชอบ เรียกร้องให้ ปธน.ยุนซอกยอล ยกเลิกคำสั่งกฎอัยการศึกที่เขาประกาศเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ โดยสมาชิกสภาเข้าร่วมการประชุมทั้งหมด 190 คน จากทั้งหมด 300 คน และมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเอกฉันท์ 190 ต่อ 0 เสียง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ สั่งห้าม ประธานาธิบดียุนซอกยอล เดินทางออกนอกประเทศ จากความพยายามประกาศกฎอัยการศึก ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้เขาลาออก และวิกฤตความเป็นผู้นำที่ทวีความรุนแรงขึ้น
————————————-
สถานการณ์วุ่นวายในประเทศซีเรีย
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มกบฏนำโดย ฮายัต ทาห์รีร์ อัล-ชาม (Hayat Tahrir al-Sham – HTS) และพันธมิตร เริ่มทำการรุกคืบ ณ อเลปโป เมืองใหญ่ที่สุดของซีเรีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อนที่ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน กบฏกลุ่มนี้จะสามารถยึดกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียได้สำเร็จ เป็นผลให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้เป็นประธานาธิบดี ต้องลาออกจากตำแหน่งและหลบหนีลี้ภัยออกนอกประเทศ
แม้การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะถูกเรียกว่า “กบฏ” แต่นั่นกลับสร้างความยินดีให้กับชาวซีเรียจำนวนมาก เนื่องจากการล่มสลายของรัฐบาลภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีบาชาร์ ถือเป็นบทอวสานการปกครองของตระกูล อัล-อัสซาด และเป็นจุดสิ้นสุดยุคแห่งเผด็จการที่กินเวลายาวนานกว่า 53 ปี
กว่าครึ่งศตวรรษที่ตระกูล อัล-อัสซาด ทำการปกครองซีเรีย นับตั้งแต่ นายพลฮาเฟซ อัล-อัสซาด ผู้พ่อ ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดเมื่อ 14 มีนาคม 2514 ด้วยการก่อรัฐประหารและยึดอำนาจ หลังจากปกครองประเทศกว่า 30 ปี ฮาเฟซ ถึงแก่อสัญกรรม แต่อำนาจได้ถูกส่งต่อให้ลูกชายในปี 2543
ตั้งแต่รุ่นพ่อจนถึงรุ่นลูก เส้นทางของตระกูลเต็มไปด้วยความรุนแรง ตัวของ บาชาร์ เองก็ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า สั่งปราบปรามและการล้อมทางทหารต่อผู้ชุมนุมอาหรับสปริง จนนำสู่สงครามกลางเมืองซีเรีย อีกทั้งหลักฐานหลายอย่างยังบ่งชี้ว่า เขาเกี่ยวพันกับอาชญากรรมสงคราม แต่เขาก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และวิจารณ์ว่าการที่สหรัฐฯ พยายามแทรกแซงการเมืองในประเทศ เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของซีเรีย
กระแสต่อต้าน บาชาร์ อัล-อัสซาด ปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2554 จากการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสงบของประชาชน แต่กลับถูกรัฐบาลโต้กลับด้วยความรุนแรง คร่าชีวิตคนนับแสน และประชาชนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนต้องอพยพลาจากมาตุภูมิ กลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานาน 13 ปี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยว่า อดีตประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เดินทางถึงกรุงมอสโกและยื่นคำร้องขอลี้ภัย หลังจากรัฐบาลซีเรียปราชัยแก่กลุ่ม HTS เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ด้านผู้ประกาศสถานีโทรทัศน์ทางการซีเรียกล่าวอย่างปิติว่า “ยุคมืดสิ้นสุดลงแล้ว ซีเรียกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่”