5 วิธีเช็ก “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” อันตรายถึงชีวิต

Home » 5 วิธีเช็ก “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” อันตรายถึงชีวิต
5 วิธีเช็ก “ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ” อันตรายถึงชีวิต

“อาการใจสั่น” เพราะเจอคนหน้าตาดี หรือเจอคนพูดเสียงดัง เลยเกิดตกใจ ทำให้ใจสั่น อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก หรือเรื่องเล่นๆ หากคุณเคยมีอาการใจสั่นบ่อยๆ หรือหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ นี่อาจเป็นสัญญาณของ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ในทางการแพทย์แล้ว เราถือว่าอาการใจสั่นคือความผิดปกติ เพราะปกติหัวใจเราจะเต้นอยู่ตลอดเวลาเป็นธรรมชาติของมัน ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าหัวใจกำลังเต้นอยู่ เพราะฉะนั้น อย่ามองข้ามหากคุณเคยมีอาการใจสั่น โดยที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติมต่อไป 

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ คืออะไร?

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะคือ การที่หัวใจสูญเสียการเต้นแบบปกติไป อาจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติก็ได้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

  1. หัวใจเต้นเร็ว
  2. หัวใจเต้นช้า
  3. หัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะ หรือหัวใจเต้นพลิ้ว
  4. ภาวะหัวใจหยุดเต้น

โดยปกติแล้วหัวใจเราจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง/วัน  หรือ 60-100 ครั้ง/นาที หากเต้นเกิน 100 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นเร็ว แต่ถ้าเต้นต่ำกว่า 60 ครั้ง ถือว่าหัวใจเต้นช้า แต่ถ้าเราเราออกกำลังกายจะเป็นการตอบสนองของร่างกาย (Physiological responses) อยู่แล้วว่าหัวใจต้องเต้นเร็วขึ้น ตรงกันข้าม หากเราออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ หรือไม่ได้เต้นเร็วขึ้น กรณีนี้ถือว่าผิดปกติ ยกเว้นนักกีฬาที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ เช่น นักวิ่งมาราธอน หัวใจของคนกลุ่มนี้อาจเต้นปกติได้อยู่เมื่อออกกำลังกาย

วิธีสังเกตภาวะอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ

คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถสังเกตตัวเองได้ง่ายๆ หากหัวใจเต้นเร็ว จะมีอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก แต่ถ้าหัวใจเต้นช้าจะเวียนหัว หน้ามืด เป็นลม หมดสติ ส่วนหัวใจเต้นไม่ตรงจังหวะ หรือหัวใจเต้นพลิ้ว จะมีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง

วิธีเช็กภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การวินิจฉัยหัวใจเต้นผิดจังหวะในปัจจุบัน มี 5 วิธี คือ

  1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) 

เป็นการตรวจแบบ Real-time ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ค่าใช้จ่ายไม่แพง ถ้าตรวจที่โรงพยาบาลรัฐบาลประมาณ 300 บาท ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเป็นประจำทุกปี

  1. การตรวจและบันทึกเครื่องไฟฟ้าหัวใจ (Holter Monitoring) 

วิธีตรวจจะคล้ายๆ ECG จะแต่เครื่องมือติดไว้กับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้คนไข้นำกลับบ้านไปด้วย แพทย์จะทราบว่าใน 24 ชั่วโมงนั้น คนไข้มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอย่างไร

  1. การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test) 

ในรายที่ออกกำลังกายแล้วหัวใจยังเต้นช้าอยู่ถือว่าผิดปกติ

  1. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพาชนิดฝัง (Implantable Loop Recorder) 

จะเป็นการฝังเครื่องไว้ใต้ผิวหนัง หากเกิดความผิดปกติ แพทย์จะนำออกมาดูได้ กรณีนี้แนะนำให้ใช้ในคนไข้ที่ไม่ได้มีอาการทุกวัน

  1. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) 

เป็นการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจเพื่อหาโรคบางชนิด เช่น คนไข้ที่มีภาวะหัวใจผิดปกติบางราย อาจเกิดจากผนังหัวใจหนาผิดปกติ เพราะโรคบางชนิด

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีภาวะการนอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ จึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่สำหรับกลุ่มคนที่แต่ไม่เคยมีอาการใดๆ มาก่อน อาจยากต่อการตรวจวินิจฉัยในเบื้องต้นได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ