2แม่ลูก ร้องสื่อ เซ็นค้ำเงินกู้สหกรณ์ให้คนอื่น เงินออมสะสมถูกหักใช้หนี้ แถมบ้านถูกยึด

Home » 2แม่ลูก ร้องสื่อ เซ็นค้ำเงินกู้สหกรณ์ให้คนอื่น เงินออมสะสมถูกหักใช้หนี้ แถมบ้านถูกยึด


2แม่ลูก ร้องสื่อ เซ็นค้ำเงินกู้สหกรณ์ให้คนอื่น เงินออมสะสมถูกหักใช้หนี้ แถมบ้านถูกยึด

สระบุรี 2แม่ลูก ออกมาร้องทุกข์ผ่านสื่อ หลังจากที่ไปเซ็นค้ำเงินกู้สหกรณ์ให้คนอื่น ต่อมา เงินออมสะสมถูกหักใช้หนี้ แถมบ้านถูกยึด วอนผู้รู้กฏหมายช่วยเหลือ

วันที่ 18 พ.ย.2564 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางจำนงค์ คำพราว อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 ม.1 ต.บ้านแก้ง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี ว่า บ้านของตนเองที่อาศัยอยู่ ถูกกรมบังคับคดีมีคำสั่งว่ายึดบ้านของตนแล้ว จึงทำให้ตนเองเกิดความสับสน ว่ามายึดบ้านของตนได้อย่างไร แต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วพบว่า ตนเคยเซ็นสัญญาค้ำประกันเงินกู้ให้กับนางทองหล่อ นายไพบูลย์ และนางอรอนงค์ เป็นเงิน 424,846 บาท จากนั้นตนได้ออกจากงานมาเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

โดยถูกทางสหกรณ์ออมทรัพย์ หักเงินสะสมของตนใช้หนี้สหกรณ์จนหมด ซึ่งตนก็ไม่ว่าอะไร และไม่ได้คิดอะไรอีก คิดว่าเรื่องเงินกู้สหกรณ์คงจบไปแล้ว แต่มาเดือนนี้ได้มีหนังสือจากกรมบังคับคดี ส่งมาให้ตนบอกว่า ทางกรมบังคับคดีทำการยึดบ้านของตนที่ตนอาศัยอยู่ว่า ตนยังคงค้างเงินอยู่กับสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นเงิน 225,538 บาท ซึ่งเป็นเงินค้างของนางอรอนงค์ ซึ่งตนเป็นผู้ค้ำประกันให้

ตนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเรียกเก็บกับตน ซึ่งตัวนางอรอนงค์ ก็ยังคงทำงานอยู่และมีตัวตน ประกอบกับตัวเองก็ไม่เคยได้รับหมายจากศาลเลยว่าต้องไปขึ้นศาล หรือมีการบังคับใช้หนี้แทนในฐานะผู้ค้ำประกัน แต่จู่ๆก็มีหมายมายึดบ้านของตน ทำให้ตนเกิดความเครียด นอนไม่หลับ จึงอยากมาร้องสื่อให้ช่วยนำเสนอข่าว หรือมีแนวทางอย่างไรบ้างที่จะช่วยเหลือตน

ด้านนายรติชา บุญเรือง ลูกชายนางจำนงค์ เล่าว่า ตอนนี้ตนรู้สึกสงสารแม่มาก เกิดจากการเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวบ้านจะถูกยึด ตนจึงได้ชวนแม่มาร้องสื่อเพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งตนไม่เข้าใจในด้านกฎหมาย บ้านของตนถูกยึดทรัพย์เนื่องจากแม่ของตนไปค้ำประกันเงินกู้ ในโรงงาน ซึ่งในโรงงานจะมีเงินกู้สหกรณ์ โดยจะมีผู้ค้ำประกันด้วยกันถึง 4 คน คือเขาค้ำเรา เราค้ำเขา แต่เมื่อเวลาออกจากงานซึ่งทุกคนจะต้องมีเงินสะสมของตนเอง

และเมื่อเวลาออกงานทุกคนก็จะต้องถูกหักเงินสะสม เพื่อไปจ่ายเงินกู้ของสหกรณ์ แต่ทำไมทางสหกรณ์ถึงไม่หักทั้งหมด และเมื่อออกงานมาไม่หักเงิน ก็กลายเป็นว่าคนที่ค้ำประกันก็จะต้องโดนด้วย ซึ่งพวกที่ค้ำกันอยู่ก็ยังกลับไปทำงานได้ใหม่ ซึ่งคนที่กู้เงินไปได้ไปทำงานที่อื่น แต่ไม่ยอมใช้หนี้ให้กับทางสหกรณ์ในส่วนของเขา จนตอนนี้ศาลไม่ได้ติดตามคนที่กู้ กลับมาติดคามคนที่ค้ำประกัน

ซึ่งจังหวะที่แม่ของตนมีบ้านและที่ดิน จึงทำให้ทางศาลมาทำการยึดทรัพย์กับแม่ของตน ซึ่งทางแม่ของตน ไม่เคยได้รับการติดต่อ จากทางไดๆทั้งสิ้น มาเห็นอีกทีก็เป็นหมายยึดบ้านแล้ว รอขายทอดตลาดเลย ตนจึงได้ไปติดต่อที่กรมบังคับคดี ทางกรมบังคับคดีบอกว่า เตรียมขายทอดตลาดให้ตนไปตามซื้อคืนเอา พร้อมแนะนำให้ตนไปติดต่อกับทางสหกรณ์

ตนจึงได้ไปที่สหกรณ์ ออมทรัพย์ โดยทางสหกรณ์ได้ บอกว่าถ้าทางเราอยากให้ระงับการขายบ้าน ให้ทางเราใช้หนี้ให้กับทางสหกรณ์ จนกว่าจะหมด ซึ่งมียอดทั้งหมด 225,538 บาท พร้อมดอกเบี้ยอีก 126,000 บาท แต่ดอกเบี้ยคิดของคนค้ำแค่ 60 วัน ซึ่งเป็นยอดเงิน 3 พันกว่าบาท โดยให้ตนเองผ่อนจ่ายดอกเบี้ย เดือนละ 1,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน

จากนั้น จึงจะให้ผ่อนส่งต้นในเดือน มกราคม ปีหน้า โดยตนจะต้องผ่อนส่งเดือนละ 1,000 บาท จนกว่าจะครบสัญญาเงินที่ค้างอยู่ ซึ่งตนจะต้องไปทำสัญญากับทางสหกรณ์ทุกปี เพื่อให้ทางสหกรณ์ไประงับการยึดบ้านกับทางกรมบังคับคดี ซึ่งตนเองต้องส่ง เกือบ 20 ปีจนกว่าจะหมด ซึ่งตนเองอยากรู้ว่าการค้ำประกันแบบนี้ และมีคนร่วมค้ำแบบนี้ ตนอยากรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในเรื่องช่องกฎหมาย หรือข้อกฎหมายที่พอที่จะช่วยเหลือคนค้ำได้บ้าง

ทำไมค้ำกัน 4 คน ถึงไม่หาร 4 ทำไมต้องมาตกที่แม่ของตนเพียงคนเดียว ทำให้ภาระมาตกที่ตน ต้องมานั่งผ่อนชำระให้ ซึ่งเหมือนกับตนถูกค้อนตีหัวด้านหลัง ซึ่งสาเหตุที่มาร้องสื่อในวันนี้ อย่างน้อยก็เป็นอุทธาหรณ์ว่า อย่าไปค้ำประกันอะไรกับใคร ส่วนตนอยากถามว่า มีทนายคนไหนที่เห็นข่าวนี้แล้ว พอมีช่องทางไหนบ้างที่จะช่วยเหลือคนค้ำประกันได้บ้าง ซึ่งเราสามารถทำอะไรกับผู้กู้ได้บ้าง ช่วยแนะแนวทางให้หน่อย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ