2แม่ลูกร้องติดหนี้5หมื่น จัดงานศพผัวเก่าก่อนโป๊ะแตกตายทิพย์ ฝ่ายชายยันไม่รู้เรื่อง

Home » 2แม่ลูกร้องติดหนี้5หมื่น จัดงานศพผัวเก่าก่อนโป๊ะแตกตายทิพย์ ฝ่ายชายยันไม่รู้เรื่อง



2แม่ลูกร้องติดหนี้5หมื่น จัดงานศพผัวเก่าก่อนโป๊ะแตกตายทิพย์ ฝ่ายชายยันไม่รู้เรื่อง เผยถ้าตนเองเสียชีวิต จะได้เงินประกัน 1.4 ล้านบาท

วันที่ 8 มี.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า หลังจากที่มีแม่ลูกออกมาร้องเรียนว่า ติดหนี้เกือบ 5 หมื่นบาท เพราะจัดงานศพให้สามีเก่า แต่สุดท้ายคดีพลิก สามีเก่าไม่ได้เสียชีวิต ต่อมาทีมข่าวลงพื้นที่วัดบ้านร่อม ต.บ้านร่อม อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้พูดคุยกับ นางสุกัญญา อายุ 47 ปี อดีตภรรยาของหนุ่มตายทิพย์ และน.ส.อภิชญาดาร์ อายุ 22 ปี ลูกสาว เล่าว่าเมื่อ 28 ปีที่แล้วได้อยู่กันกับนายวิรัตน์ ได้ 6 ปีจนมีลูกสาว 1 คน และจดทะเบียนสมรสกัน จากนั้นได้แยกกันอยู่แต่ไม่ได้หย่า

โดยฝ่ายชายมีเมียน้อย เลิกไป 3 คน เหลือ 2 คน คนที่อยู่ปัจจุบันชื่อติ๋ม มีลูกชายอายุประมาณ 13ปี อาศัยกันอยู่ที่ อ.บ้านหมอ ต.ตลาดน้อย จ.สระบุรี ฝ่ายชายประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เลิกกันมา 22 ปี ฝ่ายชายเคยส่งเสียเงินมาแค่ 1 หมื่นบาท

จากนั้นประมาณเดือนเมษายน ปี 2564 ได้เคยมาขอหย่ากับนางสุกัญญา แต่ทางนี้ไม่ได้ไปหย่า และเดือนธันวาคม ปี 2565 ได้ส่งหลานสาวมาเจรจาขอหย่าอีกครั้ง โดยเสนอเงินค่าหย่าให้ 6 แสนบาท โดยนัดเจอที่อำเภอท่าเรือในวันที่ 28 ธันวาคม ที่ผ่านมาแต่ไม่มา จากนั้นได้มีการเจราขอหย่าอีกครั้งในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้

น.ส.อภิชญาดาร์ อายุ 22 ปี ลูกสาว เล่าว่าวันที่ 4 มีนาคม เวลา 4 โมงเย็น เหลนของฝ่ายชายชื่อบอลโทร มาบอกกับตน ว่าพ่อของเธอถูกรถพ่วงชนเสียชีวิตที่ถนนเส้นสี่แยกบ้านครัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ซึ่งตนก็ได้ถามย้ำไปว่าเป็นเรื่องจริงใช่ไหมเองก็ได้รับการยืนยันว่าจริงจากนั้นตัวลูกสาวก็ได้ เดินทางไปที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท เมื่อเจอพยาบาลตนเองก็ได้รับการยืนยันว่าพ่อตัวเองเสียชีวิตแล้วแต่ถูกส่งต่อไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์รังสิต จ.ปทุมธานี

โดยศพไออกไปก่อนหน้าประมาณ 15 นาที ตนเองจึงตัดสินใจกลับบ้านและมาพูดคุยกันเรื่องการจัดเตรียมงานศพของพ่อโดยตนเองได้พูดคุยกับญาติฝ่ายพ่อซึ่งเป็นพี่สาวของพ่อชื่อป้าอร เกี่ยวกับเรื่องเงินประกันต่างๆโดยมีการบอกว่าให้ฝั่งของเธอนั้นรอเอกสารและเรื่องงานศพพ่อนั้นก็จะให้ทางฝั่ง ของเธอเป็นคนจัดเตรียมงาน

จากนั้นเช้าวันที่ 5 มี.ค. ใดีมีการนัดกันที่วัดโคกงามซึ่งอยู่ใกล้บ้านพ่อ เพื่อจะนัดพูดคุยกันเรื่องค่าประกันต่างๆที่พอจะได้จากการเสียชีวิตประมาณ รวมๆกันได้ประมาณ 1,000,000 กว่าบาท แต่เมื่อถึงเวลาทางญาติของพ่อได้อ้างว่าพ่อนั้นได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลจึงไม่มีศพกลับมาให้ได้ โดยจะให้ตนเองไปเอาผมกับเล็บของพ่อเท่านั้น และมีการยืนยันอีกครั้งว่าให้ทั้งแม่ของตนเองจัดงานศพได้เลย โดยเส้นผมและเล็บของพ่อนั้นคนชื่อบอลซึ่งเป็นเหลนของพ่อตน

ก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์เอามาให้ถึงหน้าบ้านของตนเอง ส่วนเอกสารใบมรณะบัตรต่างๆก็บอกว่าจะเอามาให้ตนเองตอนเย็นของวันที่ 5 มี.ค.และได้บอกว่าพ่อของตนเองนั้นได้ทำการเปลี่ยนชื่อจากวิรัตน์หรือนายตั้ม สิงห์ทอง เป็นชื่อใหม่คือนายนิวัฒน์ สิงห์ทอง ซึ่งตนเองก็ได้ถามหาถึงเอกสารการเปลี่ยนชื่อของพ่อซึ่งทางฝั่งญาติของพ่อก็บ่ายเบี่ยง พี่จะเอามาให้โดยญาติของฝั่งของพ่อนั้นก็ไม่มีใครเดินทางมางานศพเลย

ซึ่งในวันที่5 มี.ค. นั้นตนเองก็ได้โทรเช็กทางโรงพยาบาลพระพุทธบาททางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพ่อของตนเองนั้นเสียชีวิตจริงๆหรือไม่ ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรพระพุทธบาท และสถานีตำรวจภูธรบ้านหมอ และได้ติดต่อสอบถามกู้ภัยต่างๆก็ไม่พบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่จึงรู้ว่าตน และครอบครัวโดนหลอกจริงๆ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าเรือได้ติดตามไปที่บ้านของนายตั้มในเขตอำเภอบ้านหมอ แต่ไม่เจอตัว แต่ก็ได้ข้อมูลจากชาวบ้านว่านายตั้ม ยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจจึงได้สอบถามไปยังที่ทำงานของนายตั้มและสอบถามไปที่ญาติๆของนายตั้ม โดยให้นายตั้มรีบติดต่อมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยด่วนจากนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. นายตั้ม และนางเเฉล้มอายุ 55 ปี ภรรยาใหม่ได้เดินทางมาพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ท่าเรือ

โดยนายตั้ม ได้เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นานกว่า 1 ชั่วโมงจึง นายตั้มเล่าว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา หัวหน้าที่ทำงานได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถามว่ามีคนแจ้งไปที่ทำงานว่าตนเองเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุที่บ้านครัว ซึ่งตนเองก็ไม่รู้เรื่องส่วนทางฝั่งอดีตภรรยานั้นตนเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนไปแจ้งส่วนการที่นายบอลไปพูดคุยกับลูกสาวตนเองนั้น

ตอนนี้ตำรวจก็ได้เรียกตัวมาสอบปากคำอยู่ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้ติดต่อกับอดีตภรรยานานแล้ว ส่วนเรื่องการหย่านั้นตนเองเคยไปติดต่อไปแต่ภรรยาไม่ยอมหย่าแต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานหลายปีแล้วเรื่องการติดต่อไปโดยยื่นข้อเสนอจำนวนเงิน 600,000 บาทนั้นตนเองก็ไม่รู้เรื่อง

โดยถ้าตนเองเสียชีวิตไปนั้นก็จะมีเงินประกันจากที่ทำงานประมาณ 1,400,000 บาทและมีเงินประกันชีวิตส่วนตัวประมาณ 100,000 กว่าบาท สำหรับอดีตภรรยานั้นตนเองก็ไม่ขอไปพูดคุยอะไรด้วยปล่อยให้เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจัดการซึ่งตนเองก็ยืนยันว่าไม่มีการสร้างเรื่องว่าเป็นการกุเรื่องว่าตายเพื่อเอาเงินประกัน หรือหลบหนีอดีตภรรยาแต่อย่างใด และตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่เคยมีการเปลี่ยนชื่อมาก่อน

ตอนนี้ตำรวจ สภ.ท่าเรือ กำลังเรียกสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตรวจสอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้นใครเป็นคนปล่อยข่าวว่านายตั้มเสียชีวิตและถ้าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฏหมาย ก็จะแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ