กระแสข่าวการเปิดตัว ลิโอเนล เมสซี่ กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่กำลังแย่งซีนจากหน้า 1 ทุกสื่อกีฬา เพื่อรายงานการย้ายสังกัดของหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ขณะที่แฟนบอลเปแอสเช กำลังสำลักความสุขจนล้นกับทีมรักของพวกเขาที่กำลังจะมีโคตรซูเปอร์สตาร์มาสวมชุดยูนิฟอร์ม ผนึกกำลังกับสุดยอดแข้งในทีมที่คู่แข่งได้ยินชื่อถึงกับต้องผวา ไม่ว่าจะเป็น เนย์มาร์, คีลิยัน เอ็มบัปเป้, จานลุยจิ ดอนนารุมม่า และ เซร์คิโอ รามอส ที่พร้อมจะเดินหน้ากวาดทุกแชมป์ ประกาศศักดาในการเป็นทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี
แต่ในอีกฟากหนึ่งของอารมณ์ แฟนบอล บาร์เซโลน่า กำลังสัมผัสกับรสชาติความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องฝืนทนเห็นบุรุษอันเป็นที่รัก ก้าวเดินออกจากบ้านที่อยู่ร่วมชายคากันมานาน 21 ปี ไปทั้งน้ำตา
และนี่คือ 10 เหตุการณ์ที่ได้กลายมาเป็นภาพติดตาระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า ตั้งแต่ปี 2000-2021 ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวเหล่านี้จะยังถูกกล่าวขานต่อไปชั่วลูกชั่วหลานไม่รู้จักจบสิ้น
วันแรกในเสื้อสีน้ำเงิน-เลือดหมู
การย้ายมายัง บาร์เซโลน่า ของ ลิโอเนล เมสซี่ เด็กจากเมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนตินา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2000 ด้วยการเซ็นสัญญาบนกระดาษเช็ดปากกับ การ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการทีมชุดใหญ่ในตอนนั้น
ถึงกระนั้น 16 พฤศจิกายน 2003 คือวันแรกที่โลกได้รู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ ลิโอเนล เมสซี่ เมื่อเขาได้รับโอกาสออกไปโชว์เพลงแข้งในเกมอุ่นเครื่องระหว่าง บาร์เซโลน่า พบกับ เอฟซี ปอร์โต้ ในนาที่ที่ 75 ของเกม ด้วยอายุเพียง 16 ปี 145 วัน ก่อนต้องกลับไปฝึกฝนที่ บาร์เซโลน่า เซ เนื่องจากกระดูกของเขายังไม่แข็งพอที่จะดวลกับนักฟุตบอลระดับสูง
แต่เพียง 4 เดือนจากนัดเดบิวต์ เมสซี่ ก็ได้สัญญาอาชีพฉบับแรกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004 และลงสนามให้ทีมเยาวชนอย่าง บาร์เซโลน่า เบ และ เซ ตามลำดับ โดยในซีซั่นดังกล่าว (2003-2004) แค่ทีม เบ ทีมเดียวเขาก็ยิงไป 36 ลูก
ทันทีที่ฤดูกาล 2004-05 เริ่มต้นขึ้น เมสซี่ ยังคงเป็นเพียงแค่นักเตะของทีม เบ เท่านั้น แต่เนื่องด้วยผลงานทีมชุดใหญ่ที่ไม่กระเตื้อง นักเตะในเวลานั้นนำโดย โรนัลดินโญ่ ได้เรียกร้องให้ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เทรนเนอร์ของทีมในเวลานั้น ดัน เมสซี่ ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่เสียที
และความปรารถนาของทีมชุดใหญ่ก็เป็นผลในวันที่ 16 ตุลาคม 2004 เมสซี่ ลงสนามเกมแรกใน ลา ลีกา อย่างเป็นทางการกับ บาร์เซโลน่า ในเกมที่พบกับ เอสปันญอล แม้จะได้เปลี่ยนตัวลงมาเล่นใน 8 นาทีสุดท้ายของเกมแทนที่ เดโก้ แต่นั่นคือวินาทีแรกที่นับหนึ่งกับ บาร์เซโลน่า
เด็ก 19 สะเทือน “เอล กลาซิโก”
เมสซี่ ฉายแววความเก่งออกมาได้ตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี โดยหนึ่งในเกมแห่งความทรงจำของเขากับ บาร์เซโลน่า ต้องมีเกม “เอล กลาซิโก” นัดที่สองในฤดูกาล 2006-2007 อย่างแน่นอน
เกมดังกล่าว บาร์เซโลน่า ถูก เรอัล มาดริด ยิงประตูขึ้นนำก่อนถึง 3 ครั้งแต่ก็ตามตีเสมอได้ถึง 3 ครา โดยที่ เมสซี่ เหมาคนเดียว 3 ประตู แบ่งแต้มจากทีมเยือนได้สำเร็จในนาทีที่ 90 ของเกม ทั้งที่ทีมเจ้าบ้านเหลือผู้เล่นเพียงแค่ 10 คน หลังจาก โอเลเกร์ เปรซาส ได้รับใบแดงตั้งแต่นาทีที่ 45
การทำแฮตทริกในครั้งนี้ ทำให้ เมสซี่ เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ อีวาน ซาโมราโน ของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาล 1994–1995 ที่ทำแฮตทริกได้ในเกมเอลกลาซิโก ซึ่งหลังจากจบเกมนี้เขาก็กลายเป็นที่กล่าวขวัญเป็นอย่างมาก ในฐานะนักเตะดาวรุ่งอายุเพียง 19 ปี
เมสซิโดน่า
สิ่งหนึ่งที่คนจดจำได้เมื่อนึกถึง ลิโอเนล เมสซี่ คือทักษะการเลี้ยงบอลชนิดที่โลกต้องตะลึง ผู้ชมต้องตาค้าง แต่ไม่มีการเลี้ยงบอลครั้งไหนที่ติดตาตรึงใจไปมากกว่า เกม โกปา เดย์ เรย์ รอบรองชนะเลิศนัดแรกที่ต้องเจอ เกตาเฟ่ ที่ คัมป์ นู ในวันที่ 18 เมษายน 2007 ตอนนั้น เมสซี่ มีอายุแค่ 19 ปี
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 23 ของเกม เมสซี่ ได้บอลบริเวณริมเส้นฝั่งขวา ในระยะ 60 หลาจากปากประตูฝั่งคู่แข่ง ก่อนที่ เมสซี่ จะตัดสินใจใช้ความเร็วเลี้ยงบอลกระชากผ่านผู้เล่น เกตาเฟ่ ถึง 4 คน จนไปถึงกรอบเขตโทษ และปิดท้ายด้วยการเลี้ยงบอลผ่านผู้รักษาประตูเข้าไปยิงด้วยเท้าขวาอย่างเลือดเย็น
จากลูกยิงดังกล่าว สื่อสเปนได้ตั้งชื่อลูกยิงนี้ว่า “เมสซิโดน่า” เพื่อระลึกถึงลูกยิงของ ดิเอโก้ มาราโดน่า ที่เคยได้ทำการเลี้ยงฝ่าผู้เล่นทีมชาติอังกฤษ 6 คนเข้าไปยิงประตูใน ฟุตบอลโลก 1986
ลูกโขก “บัลลงดอร์”
ฤดูกาล 2008-09 เป็นฤดูกาลแรกของ เมสซี่ ที่สวมเสื้อหมายเลย 10 แทน โรนัลดินโญ่ ซึ่งย้ายไป เอซี มิลาน และมันก็เป็นฤดูกาลแจ้งเกิดต่อคนทั้งโลกของเขา
โมเมนต์ที่ทำให้โลกต้องจดจำชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ ในฤดูกาลนั้น ก็คือ เกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2009 เกมนัดนั้น เมสซี่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสมราคาแชมเปี้ยน โดยเฉพาะลูกโหม่งประตูในนาทีที่ 70 ของเกม ที่ทำให้ บาร์เซโลน่า คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
จากลูกโหม่งดังกล่าวส่งผลให้เขาคว้า “บัลลงดอร์” สมัยแรกมาครอง นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดศักราชใหม่ของสองสุดยอดนักฟุตบอลแห่งยุค นามว่า ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ยุคทองที่ไม่มีใครปฏิเสธ
ช่วงเวลา 2009-2012 คือยุคทองของ เมสซี่ อย่างแท้จริง การคว้าบัลลงดอร์ 4 สมัยซ้อนในช่วงปีดังกล่าว (แม้ในตอนนั้น รางวัล ฟีฟ่า บัลลงดอร์ ที่นิตยสาร ฟรองซ์ ฟุตบอล จับมือกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ระหว่างปี 2010-2015 จะมีข้อกังขาเรื่องการเลือกผู้ชนะก็ตาม) นี่คือเครื่องหมายการันตีว่าเขาคือนักฟุตบอลอันดับ 1 ของโลก
เริ่มจากปี 2010 เขาได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของ ลา ลีกา สมัยที่ 2 ติดต่อกันด้วยอายุเพียง 23 ปี และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ ด้วยการยิงประตูในลีกถึง 34 ประตู แต่แค่นั้นยังไม่พอ ในฤดูกาล 2010-2011 เขาก็คว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาได้อีกสมัย ด้วยจำนวน 31 ประตู
และฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึง ในซีซั่น 2011-12 คือช่วงปีที่ เมสซี่ ยิงประตูได้ชนิดที่คู่แข่งถึงกับยกมือไหว้ขอชีวิต ด้วยสถิติพังตาข่ายคู่แข่ง 73 ประตู โดยยิงได้ในลีกมากถึง 50 ประตู
นี่คือช่วงเวลาที่เขาขึ้นเป็น “ดาวยิงสูงสุดตลอดกาล” ในหลายวาระ ทั้งการยิงประตูให้บาร์เซโลน่ามากที่สุดตลอดกาล ในเดือนมีนาคม 2012 แซงหน้า เซซาร์ โรดริเกวซ ที่ยิงไป 262 ประตู, สถิติยิงประตูรวมทุกรายการของสโมสรใน 1 ฤดูกาล ซึ่งแซง แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานดาวยิงทีมชาติเยอรมัน ที่ยิงไป 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73
ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2012 ยังเป็นปีที่เมสซี่ ยิงประตูรวมให้กับทั้งบาร์เซโลน่า และทีมชาติอาร์เจนตินามากถึง 91 ประตูในขวบปีปฏิทิน ทุบสถิติของ แกร์ด มุลเลอร์ ที่ยิง 85 ประตูให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติเยอรมันตะวันตกเมื่อปี 1972 จน กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด บันทึกว่าเป็นสถิติการยิงประตูในเกมฟุตบอลอาชีพตลอดปีที่มากที่สุด
3 ประสาน MSN
หนึ่งใน 3 ประสานกองหน้าที่โด่งดังมากที่สุดในโลก คงต้องมีชื่อของ MSN (Messi, Suarez, Neymar) อยู่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่านี่คือ 3 กองหน้าที่ช่วยกันถล่มประตูคู่แข่งรวมกันแล้วได้ 122 ประตู
จากการมาของ เนย์มาร์ ดาวยิงทีมชาติบราซิลเมื่อปี 2013 และ หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัยในปี 2014 ทำให้ บาร์เซโลน่า สร้างจักรวรรดิใหม่แห่งวงการลูกหนังขึ้นมาอีกครั้งอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับกุนซือไฟแรงนาม หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เข้ามาพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ทันทีในฤดูกาล 2014-15
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันช่างสั้น เพราะ 3 ประสาน MSN มีอายุอยู่ได้เพียง 3 ฤดูกาลเท่านั้น โดยสมาชิกตัว N อย่าง เนย์มาร์ เลือกย้ายไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2017
ซึ่งใครจะไปเชื่อว่า อีก 4 ปีต่อมา เมสซี่ จะย้ายตามไปอยู่กับ เนย์มาร์ ที่ ปารีส
มาอย่างสิงห์ ยิงอย่างเทพ!
แม้ว่าระยะเวลาจะห่างจากลูกยิง “เมสซิโดน่า” นานถึง 8 ปี แต่ เมสซี่ ก็ทำให้มันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ในการแข่งขัน โกปา เดย์ เรย์ นัดชิงชนะเลิศ คู่ระหว่าง บาร์เซโลน่า พบ แอธเลติก บิลเบา ที่สนาม คัมป์ นู ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2015 เมสซี่ ก็ได้ยิงประตูสุดมหัศจรรย์อีกครั้ง ในรูปแบบเดียวกับที่ทำไว้เมื่อปี 2007 อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ลูกยิงดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 20 ของเกม เมสซี่ ได้บอลที่ริมเส้นฝั่งขวาระยะ 45 หลาจากปากประตูคู่แข่ง ก่อนใช้ความเร็วกระชากมุดหนีผ่านผู้เล่น บิลเบา มากถึง 5 คน แล้วปิดท้ายด้วยการยิงยัดเข้าเสาแรก ส่ง บาร์ซ่า ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจบเกมจะชนะไป 3-1
ลูกยิงสุดหวือหวานี้ ได้ถูกส่งเข้าประกวด “ปุสกัส อวอร์ด” ปี 2015 แต่ก็เป็นได้เพียงแค่รองแชมป์ โดยแพ้โหวตให้กับลูกยิงของ เวนเดล ลิรา นักเตะบราซิล
ลูกนี้ นายเอาไปยิง!
14 กุมภาพันธ์ 2016 เกมลีกนัดเหย้ากับ เซลต้า บีโก้ ที่ บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้อย่างขาดลอย 6-1 ประตู แต่มันกลับมีความหมายมากกว่านั้น
สิ่งที่สร้างความฮือฮาในเกมนี้ คือ ลูกจุดโทษ ที่ เมสซี่ เรียกจุดโทษให้ทีมได้ในนาทีที่ 81 จากการลากหลบกองหลังไปจนสุดเส้น แล้วแตะอ้อมกองหลังแล้ววิ่งไปเอาบอลจนกองหลังต้องทำฟาวล์ เขารับหน้าที่สังหาร ซึ่งหากยิงเข้า จะเป็นประตูที่ 300 ใน ลา ลีกา ของเขา
แต่สิ่งที่ เมสซี่ ทำมันเหนือความคาดหมาย เพราะเขาแตะบอลเบา ๆ ไปทางด้านหน้าขวามือของตัวเอง ให้ หลุยส์ ซัวเรซ วิ่งตามมาซัดเข้าประตูไป
หลังจบเกมทุกคนต่างคิดว่าประตูดังกล่าวคงต้องมีความหมายมากกว่านั้น แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเลย
ทั้งนี้ เนย์มาร์ ได้เป็นคนเผยความจริงของลูกยิงดังกล่าวว่า “ความจริงคือ เมสซี่ ได้ซ้อมกับผมไว้แล้ว ถ้าทีมได้จุดโทษ เขาจะแปะบอลออก แล้วผมจะเป็นคนวิ่งเข้าไปยิง แต่ในวันนั้น ซัวเรซ ดันแย่งผมวิ่งเข้าไปยิงซะงั้น”
เสื้อที่กลายเป็นตำนาน
ถ้านึกถึงท่าดีใจของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คุณจะนึกถึงท่าวิ่งไปมุมธง แล้วกระโดดหมุนตัว ลงพื้นด้วยท่าฟันฉับ
แต่ถ้านึกถึงท่าดีใจที่เป็นตำนานของ ลิโอเนล เมสซี่ คุณต้องนึกถึงเหตุการณ์ใน “เอล กลาซิโก” ปี 2017
เกมนั้น บาร์เซโลน่า บุกไปชนะ เรอัล มาดริด 3-2 ซึ่งลูกยิงพลิกชนะ 3-2 นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลา 16 วินาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา
ลูกยิงดังกล่าวส่งให้ เมสซี่ กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของศึก “เอล กลาซิโก” ที่ 23 ประตู และเป็นประตูที่ 500 ของเขากับ บาร์เซโลน่า ซึ่งดาวยิงชาวอาเจนไตน์คนนี้ฉลองการทำประตูด้วยการ ถอดเสื้อออกแล้วชูเสื้อโชว์ชื่อและหมายเลขบนด้านหลังเสื้อ
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เขาทำมันต่อหน้ากองเชียร์ เรอัล มาดริด ในสนาม ซานติอาโก เบอร์นาเบว
จากไป (ไม่) ตลอดกาล
จากหนี้สินที่ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรคนก่อนหน้า โจน ลาปอร์ต้า ได้สร้างเอาไว้ ทำให้บาร์เซโลน่า แทบต้องล้มละลาย อย่างไรก็ตาม เวรกรรมที่บาร์โตเมวได้สร้างไว้ยังไม่หมดเพียงแค่นี้
เพราะปัญหาที่สร้างกับนักเตะในทีม ทำให้ ลิโอเนล เมสซี่ ตัดสินใจส่ง “บูโรแฟกซ์” ขอฉีกสัญญาตัวเองในวันที่ 25 สิงหาคม 2020 ก่อนที่สัญญาจะหมดจริงในอีก 1 ปีถัดไป ทว่าในตอนนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากฝั่งบาร์ซ่าและ ลา ลีกา ยึดเงื่อนไขว่าต้องทำก่อนวันที่ 30 มิถุนายน แม้ฤดูกาลนั้นจะจบช้ากว่าปกติเพราะพิษ COVID-19 ก็ตาม
แม้ท้องฟ้าเหนือ คัมป์ นู จะเปลี่ยนสี เมื่อบาร์โตเมวต้องออกจากตำแหน่ง และเป็น โจน ลาปอร์ตา ที่ชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกสมัย จนดูเหมือนว่า เมสซี่น่าจะอยู่กับทีมต่อ ทว่าวันแห่งการอำลาและคราบน้ำตา กลับเกิดขึ้น
สาเหตุเพราะสัญญาระหว่างกันได้หมดอายุเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2021 ซึ่งแม้การเจรจาสัญญาฉบับใหม่ได้ข้อสรุปแล้วว่า เมสซี่จะต่อสัญญาอีก 5 ปี และยินดีลดค่าเหนื่อยจากเดิม 50% แต่ด้วยอุปสรรคด้านการเงิน ที่ บาร์เซโลน่า ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างของทั้งทีม ตามเงื่อนไขที่ ลา ลีกา กำหนด ทำให้เส้นทางการค้าแข้งของ เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า จบลงที่ 21 ปี
8 สิงหาคม 2021 จึงกลายเป็นวันสุดท้ายของ ลิโอเนล เมสซี่ กับ บาร์เซโลน่า ที่เขาจำต้องกล่าวคำอำลา
“ผมต้องการอยู่กับ บาร์ซ่า และมันก็อยู่ในแผน แต่วันนี้ผมขอกล่าวอำลา หลังจากอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต สัญญาของผมเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว และเมื่อผมกลับมาจากพักร้อน มันก็เรียบร้อยดี จนกระทั่ง ลาปอร์ต้า (ประธานสโมสร) อธิบายออกมาในนาทีสุดท้าย ถึงทุกอย่างเกี่ยวกับ ลา ลีกา ที่ทำให้มันไม่เกิดขึ้น”
“อย่างที่ประธานสโมสรบอก สโมสรมีหนี้ก้อนโต พวกเขาไม่สามารถทำได้ มันเป็นไปไม่ได้ (ที่จะอยู่ต่อ) นี่คือการสิ้นสุดของผมกับสโมสรแห่งนี้ และตอนนี้เรื่องราวใหม่จะเกิดขึ้น มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากที่สุดสำหรับผม ผมไม่ต้องการจะลาสโมสร มันเป็นสโมสรที่ผมรัก และนี่คือช่วงเวลาที่ผมไม่ได้คาดคิด ปีที่แล้วผมอยากจะไป แต่ปีนี้ผมต้องการอยู่ นั่นคือเหตุผลที่ผมเศร้ามาก”
“ถ้าผมฝันถึงการอำลา ผมอยากจะกล่าวคำอำลากับแฟนบอลเต็มสนาม คัมป์ นู ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่รักและสนับสนุนผม ผมคิดถึงแฟน ๆ มากตลอดปีที่ผ่านมา ผมคิดถึงแฟนบอลเหล่านั้นที่เรียกชื่อผม”
“ผมหวังว่าผมจะสามารถกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรแห่งนี้ไม่ว่าตอนไหนก็ตาม และช่วยให้สโมสรแห่งนี้กลับมาเป็นสโมสรที่ดีที่สุดของโลก”
“ผมอยากได้แชมเปี้ยนส์ลีกอีกหนึ่งสมัย ผมมีความคิดว่า เราน่าจะได้อีกสักครั้ง ผมไม่เสียใจเลย ผมพยายามถึงที่สุดแล้ว”