พริษฐ์ ส่งจม.เปิดผนึกถึง 250 ส.ว. ช่วยเป็น ‘กังหันลม’ โอบรับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง ยก 6 ข้อ โหวตสนับสนุนนายกฯและรัฐบาลที่รวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา
วันที่ 16 พ.ค.2566 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย และว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ระบุว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาในการรณรงค์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนยืนยันมาตลอดว่าในเนื้อหาทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง มาร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นมาตราที่เป็นปฏิปักษ์ที่สุดต่อระบอบประชาธิปไตย
หากท่านจะอ้างว่าการมี ส.ว. แต่งตั้งที่มีอำนาจเลือกนายกฯ มาจากการลงประชามติเมื่อปี 2559 ก็พึงตระหนักไว้ว่า ประชามติครั้งนั้นไม่ได้เป็นประชามติที่เสรีและเป็นธรรมตามมาตรฐานสากล – หลายคนที่รณรงค์คัดค้านถูกจับกุมดำเนินคดี ขณะที่คำถามพ่วงก็ถูกเขียนในลักษณะที่กำกวมและชี้นำโดยเจตนา
ดังนั้น ในเมื่อมาตรานี้ยังไม่ถูกยกเลิกไป วิธีการเดียวที่ท่านจะทำได้เพื่อเคารพหลักการขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตย คือการสนับสนุน ‘นายกฯและรัฐบาล ที่รวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร’ (งดออกเสียงไม่พอ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนว่านายกฯ ต้องได้รับการ ‘เห็นชอบ’ เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา ‘ที่มีอยู่’ (ไม่ใช่ ‘ที่ลงมติ’)) โดยไม่แสดงท่าทีหรือความเห็นเป็นอื่นใด ที่ไปกระทบต่อกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลและการตัดสินใจของพรรคการเมืองหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แต่ลึกๆ ผมกเข้าใจว่าการอ้างอิงหลักประชาธิปไตยอย่างเดียว คงไม่สามารถโน้มน้าวทุกท่านได้ เพราะหากทุกท่านยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ทุกท่านคงเห็นด้วยกับการยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ ไปแล้วตอนที่ถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วง 2563-65 (รวมกันถึง 3 ครั้ง)
ดังนั้น ผมขอยกอีก 6 เหตุผล ที่เพียงแต่ขอให้ท่านเพียงยึดคำพูดของตัวในอดีต
1.บางท่านเคยโหวตสนับสนุนการยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ ในรัฐสภา
เรามี ส.ว. ทั้งหมด 63 คนที่เคยสนับสนุนการยกเลิก มาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ (อย่างน้อย 1 ครั้ง จาก 3 ครั้งที่ถูกเสนอในรัฐสภาในช่วง 2563-65) แม้แต่ละท่านอาจมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป แต่การลงมติของท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเห็นตรงกันว่ามาตรา 272 มีปัญหาและไม่มีความจำเป็นต้องคงไว้อยู่ ดังนั้น ขอเรียกร้องไม่ให้ท่านเอามาตราที่ท่านเองก็เห็นว่าเป็นปัญหา มาขัดเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง
2.หลายท่านเคยบอกว่าไม่จำเป็นต้องยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ เพราะอำนาจนี้ตามมาตรา 272 ‘ไม่มีความหมาย’ ‘ไม่มีน้ำยา’ และ ‘ไม่มีราคา
ส.ว. บางท่านเคยบอกว่า การมีอยู่หรือไม่ของอำนาจเลือกนายกฯ ของ ส.ว. ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะใครก็ตามที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลก็ต้องได้รับเสียงข้างมากจาก ส.ส. เสียก่อน โดยหาก ส.ว. เลือกคนที่ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ ก็ย่อมทำให้เกิดทางตันทางการเมืองเพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่สามารถผ่านกฎหมายใดๆ ได้ ดังนั้น หากท่านยืนยันคำเดิมว่ามาตรานี้ไม่ได้มีราคาอะไร ก็อย่านำอำนาจที่ท่านมีจากมาตรานี้ มาโก่งราคาเพื่อบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง
3.หลายท่านเคยอ้างว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ รอบที่แล้ว เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการสนับสนุนจากเสียงข้างมากของ ส.ส.
แม้ผมต้องยืนยันจุดยืนเดิม ว่าการมีอยู่ของอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ ส่งผลต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองและกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนั้น แต่ ส.ว. หลายท่าน (รวมถึง ส.ส. ซีกรัฐบาลเดิม) มักอ้างหลายครั้งว่าที่ ส.ว. โหวตให้ พล.อ. ประยุทธ์ ในการโหวตนายกฯ เมื่อปี 2562 เป็นเพราะ พล.อ. ประยุทธ์ ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. เกินกึ่งหนึ่ง (250+) ของส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ดังนั้น หากท่านใช้ตรรกะเดิมที่ท่านเคยอ้างว่าท่านใช้ในการสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เมื่อปี 2562 ท่านก็ควรต้องสนับสนุนนายกฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. เกินกึ่งหนึ่ง (250+) ในการเลือกนายกฯในปี 2566 เช่นกัน
4.หลายท่านพูดเสมอถึงความสำคัญของการให้ประเทศได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เจอทางตัน
หากท่านต้องการให้ประเทศได้ ไปต่อ โดยไม่เจอทางตัน ผมไม่เห็นเหตุผลใดที่ท่านจะไม่สนับสนุนนายกฯ และรัฐบาลที่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่ว่าท่านจะมีความคิดเห็นส่วนตัวอย่างไรกับนายกฯคนนั้น หรือพรรคที่อยู่ในรัฐบาลชุดนั้น
แต่หากท่านไปสนับสนุนนายกฯ หรือ พรรคที่ไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร นายกฯหรือรัฐบาลเสียงข้างน้อยชุดนั้น จะไม่สามารถบริหารประเทศให้ไปต่อได้ กฎหมายจะไม่ผ่านสักฉบับ งบประมาณจะไม่ผ่านสักบาท และรัฐบาลก็จะล้มทันทีที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดังนั้น ในเมื่อท่านเองก็น่าจะเห็นเหมือนผมว่าการสนับสนุนนายกฯที่ได้รับการสนับสนุนจากแค่เสียงข้างน้อยของ ส.ส. จะนำไปสู่ทางตัน ผมก็หวังว่าท่านจะไม่เลือกนำพาประเทศไปเจอทางตันนั้น
5.หลายท่านพูดเสมอถึงความสำคัญของ “การตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล”
หากท่านไม่ประกาศสนับสนุนหลักการว่าท่านจะโหวตให้นายกฯ และรัฐบาลที่รวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. (เกิน 250 คน) แต่บีบให้เขาต้องรวบรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา (เกิน 375 คน) ท่านกำลังกระทำสิ่งที่เสี่ยงจะบีบให้ฝ่ายค้าน (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล มีความอ่อนแอลงหรือมีเสียงน้อยลง
แม้พรรคก้าวไกลเรายืนยันว่าเราจะไม่หลงกลนี้ และเราจะไม่ตัดสินใจดึงพรรคที่อุดมการณ์ไม่ตรงกับเราเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาล (โดยยังคงหวังว่าพรรคที่แม้ไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับเรา แต่เห็นถึงความวิปริตของอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ จะมาร่วมโหวตให้เราเป็นกรณีพิเศษ) แต่ผมเพียงอยากชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งของท่าน ระหว่างการโยนให้พรรครัฐบาลต้องรวบรวมเสียงได้เกิน 375 เสียง กับคำพูดของท่านว่า ต้องการจะสร้างระบบรัฐสภาที่มีการตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลอย่างเข้มข้นโดยฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง
6.หลายท่านพูดเสมอถึงความสำคัญของการไม่อยากเห็น “บ้านเมืองขัดแย้ง”
ผมขอยืนยันว่าแม้การมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติของสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรต้องหลีกเลี่ยง แต่การบริหารจัดการความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ให้ทวีคูณไปเป็นความขัดแย้งที่ดีที่สุด คือการมีกระบวนการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ดังนั้น ในเมื่อการเลือกตั้ง คือกระบวนการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับประชาชนทุกกลุ่มความคิด เพราะเป็นการให้ประชาชนทุกคนทุกความคิด มี 1 สิทธิ 1 เสียง เท่าเทียมกัน หากท่านใช้อำนาจของท่านในทางใดที่เสี่ยงจะฝืนเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง ท่านเองจะเป็นคนที่นำบ้านเมืองไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้น ผมขอเรียกร้องให้ส.ว.ทุกท่าน สนับสนุน ‘นายกฯและรัฐบาล ที่รวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
มันเป็นสิทธิของท่านในระบอบประชาธิปไตย ที่จะไม่เชื่อว่านายกฯ และรัฐบาลนี้ เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดของประเทศ แต่มันไม่ควรเป็นสิทธิของท่านในระบอบประชาธิปไตย ที่จะขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน ที่แสดงออกมาชัดเจนผ่านคูหาเลือกตั้งถึงความต้องการอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง พัดโชยมาถึงแล้ว และหากจะต่อยอดจากคำพูดของคุณหนุ่มเมืองจันท์ ถึงเวลาที่ท่านต้องเลือก ว่าท่านจะเลือกเป็นอะไรระหว่าง กังหันลม ที่โอบรับและก้าวไปด้วยกันกับความเปลี่ยนแปลงที่สังคมปรารถนา กับ กำแพง ที่ฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงที่สังคมต้องการไว้แค่เพียงชั่วคราว แต่ทิ้งรอยร้าวและซากปรักหักพังไว้ทั่วแผ่นดิน เมื่อวันที่สายลมมันแรงเกินกว่ากำแพงใดๆจะต้านทานไว้ได้
นายพริษฐ์ ทิ้งท้ายด้วย #ส.วต้องเคารพเสียงประชาชน พร้อมระบุรายชื่อ ส.ว. 63 คนที่เคยสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 272 ที่ให้อำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ (อย่างน้อย 1 ครั้ง จาก 3 ครั้งที่ถูกเสนอในรัฐสภาในช่วง 2563-65) อาทิ นายกล้านรงค์ จันทิก, นายคำนูณ สิทธิสมาน, พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา, พล.อ.ต.เฉลิมชัย เครืองาม, นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน, นายชาญวิทย์ ผลชีวิน, นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, นายวันชัย สอนศิริ, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ เป็นต้น