ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร เปิดใจในรายการ WOODY INTERVIEW หลังผ่านมรสุมชีวิต ย้อนเล่าจุดเริ่มต้นของการเป็นโรคซึมเศร้า ถึงขนาดเคยแพ้ยาจนเห็นภาพหลอนและกรามค้าง!?
พร้อมเล่าวิธีการรับมือและเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหา ก่อนจะอัปเดตสถานะหัวใจให้ฟังว่า…ตอนนี้โสดแฮปปี้กับชีวิต และมีแพชชั่นในการทำงานมากขึ้น
จุดเริ่มต้นความซึมเศร้ามันเข้ามาตอนไหน ?
“9 ปีที่ผ่านมาค่ะ ก็รู้ตัวว่าตัวเองผิดปกติ ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่นการลุกออกจากเตียง การตื่นนอนคือเรื่องยากมากสำหรับคนที่เป็นโรคนี้ คือเหมือนกันว่าเราไม่อยากตื่น เพราะรู้ว่าตื่นมาแล้วเราเศร้า เริ่มมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รู้สึกว่าเราแปลก เริ่มทานอาหารน้อยลง เบื่ออาหารหรือเปล่าก็ไม่น่าใช่ แล้วก็เริ่มนอนไม่หลับ ก็เลยมาทำทดสอบในอินเตอร์เน็ตปรากฏว่าคือทุกข้อเลยค่ะตรงหมดเลย หลังจากนั้นไอซ์ก็ไปหาคุณหมอ”
เท่าที่รักษามาพอจะรู้ไหมว่าเกิดจากอะไร ?
“คุณหมอบอกว่าเป็นพันธุกรรมด้วย หนึ่งส่วนเป็นพันธุกรรมแล้วก็อีกเรื่องคือเรื่องเครียดที่มีผลกระทบ หรือว่าเป็นภาวะสูญเสีย”
เป็นตั้งแต่ช่วงภาพยนต์ ATM ไหม ?
“ตอนนั้นยังไม่แน่ใจตัวเองว่าเป็นหรือเปล่า แต่ว่าพอหลังจากนั้น หนูแน่ใจแล้ว และอีกส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากที่เราประสบอุบัติเหตุรถคว่ำแล้วก็ถูกแฟนทิ้ง รู้สึกว่ามันแย่จังเลยชีวิตช่วงนั้น”
รถคว่ำกับแฟนทิ้งมันโยงกันได้ยังไง ?
“เราคิดว่าตัวเองไม่สามารถกลับมาทำงานในวงการบันเทิงได้อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าหน้าเราเสียโฉม คือมันแทบจะไหลออกมาแล้วอ่ะลูกตา ต้องใช้เวลารักษาอยู่เป็นปีๆ เพื่อที่จะทำให้แผลยุบลงไป ซึ่งเจ็บมากๆ ด้วย และเกี่ยวกันได้ยังไงเรื่องแฟนทิ้งใช่ไหมพี่ เพราะว่าเราบอกเขาว่า เราอาจจะกลับมาหน้าตาไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เขาไม่ได้ขอเลิกแต่ว่าเขาหาย”
ช่วงนั้นใช้เวลานานไหมกว่าหน้าจะเข้าที่ ?
“นานมากๆ ค่ะ ประมาณ 3-4 ปีได้เลยนะคะ ซึ่งไอซ์ไม่ส่องกระจกเลย ต้องเอาผมข้างหนึ่งมาบังหน้าเพื่อไม่ต้องการให้เห็นแผล เราเครียดไม่อยากส่องกระจก ไม่อยากออกไปเจอใคร รู้สึกแย่รู้สึกนอยด์ บวกกับแฟนทิ้งอีกก็หนักเลยตอนนั้น”
บวกกับที่คนเขาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่าโครงหน้าเปลี่ยน คนที่มองเข้ามาก็ยิ่งทำให้คุณกดดันมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นสภาวะจิตใจเป็นยังไง ?
“ใช่ค่ะ ภาวะคือไม่อยากอยู่แล้วค่ะ คือรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว คือเราผ่านเรื่องราวผ่านปัญหา ผ่านการบูลลี่ผ่านอุบัติเหตุครั้งใหญ่มา แล้วก็ด้วยโรคนี้ด้วยที่เราเผชิญอยู่ ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นช่วงที่แย่ที่สุด”
วันที่หนักสุดจำได้ไหมเกิดอะไรขึ้น ?
“ไอซ์ไม่ได้ทานข้าวเลยพี่วู้ดดี้ เกือบอาทิตย์ได้มั้งคะ แล้วก็วูบไปในห้องน้ำ หลังจากนั้นเข้าโรงพยาบาล”
วิธีในการอยู่กับโรคซึมเศร้า อยากให้แบ่งปันเพื่อเป็นประโยชน์กับทุกคน ?
“เริ่มจากที่มีอยู่วันหนึ่ง ไอซ์รู้สึกว่าฉันไม่อยากอยู่แล้วนะ และฉันต้องการความช่วยเหลือมากๆ ซึ่งตอนนี้คนที่จะช่วยเหลือได้ก็คือโรงพยาบาล ไอซ์โทรไปโรงพยาบาล บอกว่าหนูอยากตาย แล้วเขาก็บอกว่ารอแป๊ปนึง แล้วก็ให้ฟังเสียงรอสายอยู่ประมาณ 5 นาทีได้ ก็บอกว่าพอดีไม่มีแผนกนี้ ต้องโอนสายไปให้โรงพยาบาลอื่น ถ้าในขณะนั้นหนูตัดสินใจว่าหนูจะจบล่ะ คือต้องการความช่วยเหลือแล้ว คือร้องไห้เพื่อขอความช่วยเหลือ ในความคิดตอนนั้นคิดว่าคนที่จะช่วยเราได้คือคุณหมอ ที่จะช่วยรักษาและประคับประคองเรื่องสภาพจิตใจในตอนนั้น โทรไปประมาณ 5 โรงพยาบาล อีกโรงพยาบาลหนึ่งบอกว่าอีก 3 เดือนค่อยมาทำการนัดใหม่เพราะคิวไม่ว่าง ก็คือถ้าเป็นตอนนั้นหนูคงไม่ได้อยู่แล้ว แต่หนูก็โทรไปจนได้โรงพยาบาลที่รักษาตัว และก็ดีขึ้นนี้แล้วคะ”
แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ปรึกษาแพทย์อย่างเป็นทางการ ?
“ปรึกษาค่ะ ปรึกษามาโดยตลอดและพยายามที่จะสู้กับมัน แย่แค่ไหนจะดาวน์แค่ไหนเราสู้ แต่โรคนี้มันต้องรักษาและทดลองยาไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ถึงจะรู้ผลว่าเป็นยังไง ในช่วงที่ไอซ์รักษาก่อนหน้านี้ก็มีการแพ้ยาบ้าง ถึงขั้นที่เห็นภาพหลอน เป็นภาพที่น่ากลัว ไม่รู้อาจจะอยู่ในจิตใต้สำนึกเราหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นสัตว์ประหลาด เป็นปีศาจเป็นเงา เป็นลักษณะที่สัมผัสได้ด้วย เหมือนกับว่ามันเชื่อมโยงกับเส้นประสาท แล้วเราก็รู้สึกถึงสิ่งที่มากระทบกับผิวเราด้วย อาการแพ้มันเกิดจากว่าต้องลองทานยาไปก่อนสัก 1-2 อาทิตย์ถึงจะทราบว่าเราถูกกับยาตัวนี้ไหม ผ่านไปอาทิตย์แรกไม่เป็นไร อาทิตย์ที่สองเห็นภาพหลอน หลังจากนั้นก็ยังทานตัวเดิมอยู่เราไม่รู้ว่าแพ้ สุดท้ายกรามค้าง ตาเหลือกกลับไปข้างหลัง สภาพนั้นเลยค่ะ ยังกลัวตัวเองเลยว่าเป็นไปได้ขนาดนั้น แล้วก็ต้องเข้า ICU เพื่อฉีดยา”
ผ่านตรงจุดนั้นมาได้ เพื่อนก็เป็นจุดสำคัญที่ช่วยทำให้เรากลับมา ?
“เพื่อนค่ะเป็นจุดสำคัญ ต้องบอกอย่างนี้ว่าพื้นที่ปลอดภัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คือบางคนพื้นที่ปลอดภัยอาจจะเป็นครอบครัว สำหรับไอซ์อาจจะเป็นเพื่อนหรือบางทีอาจจะเป็นคนไกลตัวไอซ์มากๆ เลยที่เราปรึกษาคุยด้วย หลังจากที่ไอซ์รักษาตัวเสร็จพอออกมาเราก็มีทัศนคติที่เปลี่ยนไป เริ่มเห็นแสงปลายอุโมงค์ เริ่มอ่านหนังสือเยอะขึ้น แล้วก็มีการเรียนจิตวิทยาให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น พอออกมาทุกอย่างเปลี่ยนเหมือนฟ้ามันสว่างจากสิ่งที่มันมืด จากที่รู้สึกว่าไม่ไหวไม่อยากอยู่แล้วแต่พอเราออกมาได้รับการรักษา เหมือนเราได้ศึกษาตัวเองได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น พลังใจเราก็ค่อยๆฟูขึ้น พอออกมาก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องตรงนี้มากขึ้น”
ตอนนี้อยู่กับมันยังไง ?
“ก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ว่าเราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองมากขึ้น อารมณ์เป็นสิ่งที่กระตุ้นการกระทำหรือความคิดต่างๆ เขาเรียกว่าเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหา คือปัญหาของเราไม่ได้หายไปไหนและไม่สามารถถูกแก้ไขได้ แต่ไอซ์เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหา โดยที่เราไม่ได้เศร้าด้วยนะ โดยที่เราเข้าใจ การที่เราเป็นแบบนี้จริงๆ แล้วมันก็มีข้อดีนะ มันไม่ได้มีแค่ข้อเสียอย่างเดียว การเป็นโรคนี้เราจะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เราจะแคร์คำพูดการกระทำคนอื่น แล้วเวลาของเราก็จะนานกว่าชาวบ้านเขา ความทุกข์จะคูณไปเลย เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ดี”
วันนี้มีใครที่เข้ามาเยียวยาหรือว่าดูแลเป็นพาร์ทเนอร์ชีวิตเราไหม ?
“ตอนนี้หนูโสดค่ะ แล้วก็แฮปปี้กับชีวิตโสด เพราะว่าเราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น แล้วก็มีเวลาทำกิจกรรมที่เราชอบมากขึ้น ตอนนี้กลับมามีแพชชั่นในการทำงาน”
สามารถติดตาม WOODY ได้ที่ช่องทาง Facebook: Woody , Youtube: Woody