สตูล หน่วยสืบสวนปราบปรามศุลกากร สกัดจับน้ำมันดีเซลเถื่อน 5 พันลิตร ใช้เรือขายสินค้าบังหน้า ตบตาเจ้าหน้าที่ แต่ไปไม่รอด ส่งดำเนินคดี จำคุก ปรับ 4 เท่า
13 มี.ค. 66 – นายยุทธภูมิ ทัณทะรักษ์ หน.หน่วยสืบสวนปราบปรามสตูล-ปากบารา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศรชล เจ้าท่าภูมิภาคสาขาสตูล, อุทยานฯตะรุเตา ร่วมกันออกสืบสวนปราบปรามการลักลอบน้ำมันผิดกฏหมายเขตน่านน้ำ จังฟวัดสตูล
หลังสืบทราบว่า มีเรือเร่ขายสินค้าของชำ หรือเรือพุ่มพวงลักษณะคล้ายเซเว่นลอยลำขายสินค้าทุกชนิดให้กับเรือประมงกลางทะเล แต่ฉากหลังคือลักลอบขายน้ำมันเถื่อน
ต่อมาเจ้าหน้าที่นำเรือศุลกากร 701 ออกลาดตระเวณ พบเรือเร่ขายสินค้าหรือเรือพุ่มพวงดังกล่าว ชื่อเรืออุมาภรณ์ ขนาดความยาว 15 เมตร กว้าง 4 เมตร ขณะลอยลำอยู่ระหว่างเกาะหลีเป๊ะและเกาะอาดัง ลักษณะคล้ายเรือต้องสงสัย
จึงส่งสัญญาณเข้าตรวจค้น ซึ่งดูจากภายนอกลักษณะเป็นเรือพุ่มพวงขายสินค้า แต่ภายในไม่มีสินค้า และใต้ระวางเรือพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร จำนวน 25 ใบ ซุกซ่อนอยู่ ตรวจสอบเป็นน้ำมันดีเซลเถื่อนประมาณ 5,000 ลิตร และมีถังเปล่าอีกจำนวนมาก
จึงจับกุมตัว นายอุทัย พิมศร อายุ 60 ปี ผู้ควบคุมเรือ ชาวอ.เมือง จ.ระนอง และนายคูณ พิมศร อายุ 57 ปีชาว จ.ระนอง ทั้ง 2 สารภาพว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือเช่ามาเพื่อทำเป็นเรือขายน้ำมัน โดยอำพรางว่าเป็นเรือพุ่มพวงขายของชำทุกชนิดให้แก่ชาวประมงที่วิ่งผ่านไป-มา
โดยน้ำมันดังกล่าวรับมาจากเรือลากจูงสินค้าระหว่างประเทศหรือเรือทรัค นำมาขายให้กับกลุ่มชาวประมงในราคาลิตรละ 31 ปี ต่ำกว่าท้องตลาดคือลิตรละ 35 บาท
นายยุทธภูมิ ทัณทะรักษ์ หน.หน่วยสืบสวนปราบปรามสตูล-ปากบารา กล่าวว่า สำหรับเรือลำนี้จนท.ได้ติดตามมาพักหนึ่งแล้ว เพราะทราบว่าเป็นเรือที่ไม่ได้ทำประจำ แต่ทำหลังจากได้โควตาน้ำมันมา โดยไปขนถ่ายสินค้าจากเรือลากจูงสินค้าต่างประเทศ หรือเรือทรัคแล้วนำมาถ่ายน้ำมันกลางทะเล
จากนั้นนำมาขายให้เรือประมงตามเส้นทางที่วิ่งผ่านแอบขายกันตามซอกเกาะต่างๆ โดยต่อสายและมีมิเตอร์วัด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่จับกุมเรือประเภทนี้ได้ ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะเป็นเรือประมงดัดแปลง ซึ่งดูจากระวางเรือและถังน้ำมันคาดว่ามีการแอบจำหน่ายไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเรือลำดังกล่าวที่จับกุมได้นี้คาดว่ามีน้ำมันไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลิตร
สำหรับของกลางทั้งหมด เรืออุปกรณ์จ่ายน้ำมันและน้ำมัน มูลค่า 6 แสนบาท พร้อมตั้งข้อหาในความผิด พรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 โดยมีอัตราโทษคือ ยึดเรือ และระวางโทษจำคุก หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาน้ำมัน และได้นำตัวผู้ต้องทั้งหมดพร้อมของกลางไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป