ไมค์ ภิรมย์พร วางแผนเกษียณร้องเพลง ทุ่มเททำอาชีพเกษตรกร ลุยธุรกิจน้ำปลาร้าเต็มที่ เผยสัจธรรมชีวิต ไม่ยึดติดชื่อเสียงความสำเร็จ
นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ขวัญใจผู้ใช้แรงงาน “ไมค์ ภิรมย์พร” เปิดใจกับ ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ ถึงการวางแผนเกษียณอย่างมีความสุข หลังจับไมค์ร้องเพลง โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงสร้างความสุขผ่านเสียงเพลงมายาวนานกว่า 30 ปี ในวันนี้ความสุขในชีวิตของผู้ชายที่อดทนสู้ชีวิตตามล่าฝันจนประสบความสำเร็จ คือการทุ่มเทอาชีพเกษตรกร ทำการเกษตรผสมผสานที่บ้านเกิด จ.อุดรธานี พร้อมกับลุยธุรกิจน้ำปลาร้าอย่างเต็มที่ เผยถึงสัจธรรมชีวิตทุกวงการอาชีพ ภูมิใจแล้วกับความสำเร็จแต่ไม่เคยยึดติดชื่อเสียง
ไมค์ เผยว่า “เรื่องเกษตรคนก็มองว่าไม่อยากทำ ร้อน เหนื่อย ทำไม่เป็น ถ้าใครไม่มีใจรักอย่าทำเลย ถึงทำยังไงก็ไม่ประสบความสำเร็จ การทำเกษตรต้องใส่ใจ จริงจัง ต้องมีความศรัทธาอาชีพเกษตร บทบาทร้องเพลงเราชอบเพราะมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว เกษตรผมก็ชอบเพราะมันซึมซับจากสายเลือดพ่อแม่เรา ฉะนั้นทั้งสองอย่างแยกกันไม่ออกเลย
พอเรามาทำเกษตรจริงจังมันยิ่งสร้างแรงบันดาลใจให้อยากพัฒนาต่อเนื่อง การทำเกษตรทุกวันนี้ผมไม่ได้เป็นนักวิชาการ ไม่ได้เรียนวิชาการเกษตร ทุกอย่างเกิดจากก้าวตามหาฝันอยากทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จ ก็เหมือนกับเรามองถึงก้าวแรกที่เดินเข้ามากว่าจะมาเป็น ไมค์ ภิรมย์พร ผมคิดแบบนี้เลย ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเกษตรหวือหวาโด่งดัง ให้มันออกลูกออกผลได้รับผลผลิตจากน้ำพักน้ำแรงแนวความคิดเรามันก็มีความภาคภูมิใจแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ผลตอบแทนมากมาย แต่ถ้าเราทำดีๆ ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องซื้อ เรากินปลอดภัยจากสวนเราเอง”
วางแผนเกษียณไปทำอาชีพเกษตรกร? “พูดตรงๆ ว่าผมก็อยากเกษียณแล้ว เพียงแค่ว่าผมยังไม่ได้พูดกับทางผู้ใหญ่แกรมมี่ คือเราอายุมากแล้ว เรายืนอยู่บนเวทีมาเกือบจะ 30 ปีแล้ว มันถึงเวลาที่เราจะต้องเดินลงมา แต่เราเดินลงมาตามฝันอีกฝันหนึ่งเรื่องของการเป็นเกษตรกรส่วนหนึ่ง และอีกอย่างเรามาทำธุรกิจปลาร้าแซ่บไมค์ เราจะวางแพลนเรื่องธุรกิจการสร้างแบรนด์ สร้างสินค้า และส่งออกไปต่างประเทศ คือเราส่งออกไปต่างประเทศประมาณนึงแล้ว แต่ในอนาคตถ้าเกิดเราทำได้สามารถส่งออกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จะดี ต่อยอดไปให้ถึงลูกสาวที่อยู่ที่แคนาดา แต่ว่ายังไม่ได้ดูทิศทางของแกรมมี่ ผู้ใหญ่จะว่ายังไง”
ใจหายไหม จับไมค์ร้องเพลง อยู่ในวงการบันเทิงมา 30 ปี? “ใจหายไหม มันก็ใจหายนะ แฟนเพลงแฟนคลับที่ติดตามเรา เขาก็ถามเมื่อไหร่จะมีคอนเสิร์ต เมื่อไหร่จะได้ฟังเพลง คิดถึงแล้ว เราไม่ใช่เด็กแล้วไง จะให้เราไปยืนร้องเพลงเต้นสนุกสนานเหมือนตอนเด็กๆ มันก็ไม่ใช่แล้ว เราอายุมากขึ้น มันถึงจุดๆ หนึ่งที่ต้องยอมรับกับตรงนี้ให้ได้ ถ้าเราอายุ 25 ปีตลอดชีวิต ผมจะไม่ยอมเลิกร้องเพลงแน่นอน เพราะว่ามันอยู่ในสายเลือด แต่เราอายุมากขึ้นทุกวันๆ พอเราอายุมาก ทิศทางเพลงถ้าเราจะร้องเพลง เราจะร้องแบบไหน แล้วคนที่จะฟังเพลงเรามันก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพลงก็เปลี่ยนไปด้วย มันหลายๆ อย่าง แล้วมาเจอช่วงวิกฤตโควิดยิ่งไปกันใหญ่เลย ยิ่งทำให้เราเริ่มถอดใจ ไม่ใช่ว่าผมเบื่อการร้องเพลงนะ ไม่เบื่อเลย บางครั้งอยู่คนเดียวนั่งฮัมเพลงตัวเองเงียบๆ อยู่คนเดียว ผ่อนคลายในการทำงาน
มันส่งสัญญาณที่เราอยากจะเกษียณแล้ว เพราะว่าอยากมีเวลากับธุรกิจ และอยากมีเวลาไปพัฒนาเรื่องการเกษตร และไปเยี่ยมลูกที่แคนาดาด้วย อยากให้เขามาต่อยอดธุรกิจให้พ่อ สิ่งที่ทำๆ อยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย เพราะเรามีลูกที่ต้องอยู่ในสังคมต่อไป เขาต้องเติบโตมาพร้อมที่จะเอาตัวรอดอยู่ในสังคมได้”
ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกอย่างแล้ว ยังมีตั้งเป้าอยากทำอะไรในชีวิตอีกไหม? “ที่ทำธุรกิจอยู่ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องรวยมาก ธุรกิจเราอยู่ได้ สินค้าเราอยู่ได้ เรามีรายได้มาซัพพอร์ตครอบครัว เราให้ลูกมาต่อยอด ผมก็มีความสุขแล้ว และสิ่งที่ผมอยากคิดต่อยอด คือพยายามมองหาสินค้าที่จะมาสร้างแบรนด์เป็นโปรดักต์ขึ้นมา ซึ่งมันมีทิศทางที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มเกษตรกรได้ มันเป็นการช่วยเอื้อกับสังคม เอื้อกับเกษตรกร ที่เป็นโปรดักต์ใกล้ตัวที่หยิบยกขึ้นมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันได้ ต้องดูด้วยว่าทำแล้วคนจะให้การยอมรับไหม เราก็ต้องค่อยๆ คิดทำไป”
มองย้อนกลับไปชีวิตจากจุดเริ่มต้น จนเป็นไมค์ ภิรมย์พร ในวันนี้? “ผมยังนึกอัศจรรย์กับภาพของตัวเองในวันนี้ มันเป็นไปได้ยังไง จากที่เราอยู่ทุ่งนา จากเด็กที่ไม่มี เรียกว่าด้อยโอกาสด้วยซ้ำ แล้วก้าวมาสู่ตรงนี้ได้ เรามองย้อนไปเราเดินมาไกลมาก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ เมื่อก่อนเป็นเด็กดูหนังฝรั่ง อเมริกา ยุโรปเป็นอย่างนี้ สุดท้ายเราได้ไปมาหมดแล้ว มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเพราะความลำบาก ความยากจน พ่อกับแม่สอนให้เรามีความขยันอดทนที่เป็นบันไดขั้นสำคัญในการที่ไต่เต้าสู่ความสำเร็จ”
หลังจากนี้วางแผนเกษียณมีความสุขในบั้นปลายชีวิต? “คาดหวังอย่างนั้นแล้วมาดูแลเรื่องธุรกิจตัวเอง ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ได้อยู่ทุ่งไร่ท้องนา ดูแลต้นไม้พืชผักที่เราสร้างมากับมือ ที่มองว่าอยากจะเกษียณจากการร้องเพง วัยเรา 55 ปี ย่าง 56 แล้ว ผมว่ามันไม่ใช่วัยที่นักร้องอย่างเราต้องมายืนร้องเพลง ทุกวันนี้การออกซิงเกิลต้องมีมิวสิควิดีโอต้องไปยืนร้องเพลงซิงก์ตามเรื่องราว ตอนนี้ผมมองว่าถ้ามีภาพผมไปยืนร้องเพลงแบบนี้ ผมเขินตัวเองมากเลย ไม่รู้จะทำตัวยังไง มันไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนเมื่อก่อน พอเป็นผู้ใหญ่อายุมากขึ้น มันน่าจะมีอย่างอื่นแทน ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของการร้องเพลง เป็นเรื่องวิถีเกษตร มีคนไปเยี่ยม มีสื่อมวลชนไปพบปะรายการต่างๆ มันก็มีความสุขที่ได้ต้อนรับทำกับข้าวให้กินแล้วนำภาพความเป็นอยู่ของไมค์ ภิรมย์พร มานำเสนอสู่สังคม ผมมีความสุขแล้วไม่จำเป็นต้องออกไปร้องเพลง เรื่องร้องเพลงมันเป็นวัยที่อยากหยุดแล้ว”
ฝากถึงนักร้องรุ่นใหม่? นักร้องทุกวันนี้ น้องๆ ที่เข้ามาในวงการไม่ได้เข้ามายากลำบาก มากันง่ายมาก ไม่เหมือนยุคของผม ทุกอย่างต้องเสนอตัวทำงานเพื่อจะแลกใจกับครูเพลง กับโปรดิวเซอร์ ทุกอย่างต้องยอมเสียสละ อดทน ให้เขาได้เห็น แต่ทุกวันนี้พอมีความสามารถร้องเพลงได้ก็สามารถอัดลงยูทูบได้เลย การที่จะมายืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิง ถ้าเขาวางตัวดี มีความรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ มีความกตัญญู และรู้จักเก็บรับรองว่าเขาอยู่ได้ เขาก็จะประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามาหลงระเริงกับเรื่องของชื่อเสียง พอมาอยู่จุดที่สูงแล้วลืมก้าวแรกที่เราเดินมา เขาจะก้าวพลาด ถ้าคนเรามีความซื่อสัตย์กับตัวเอง มีจิตสำนึกกับตัวเอง บอกได้เลยว่าเขาจะอยู่ได้ยาว และประสบความสำเร็จ
ทุกเวที ทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน อย่างอาชีพข้าราชการไปถึงจุดสูงสุดแล้ว วันหนึ่งอำนาจหน้าที่การงานคุณหมด ก็ต้องเข้าใจในเมื่อมีคนใหม่มาแทน นักกีฬาก็เหมือนกัน เป็นแชมป์โลกตอนนี้คุณอายุมากขึ้น แชมป์โลกไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ตลอดชีวิต ก็ต้องเดินลงมา ให้แชมป์ใหม่ๆ เด็กรุ่นใหม่ที่เขามีพละกำลังมีไฟขึ้นมาแทน ก็ต้องเข้าใจเรื่องสัจธรรมตรงนี้ อย่าไปยึดติด ถ้าเรายึดติดเมื่อไหร่ แล้วเราจะไม่สามารถเอาตัวรอดอยู่ในสังคมได้เพราะเราคิดว่าเราเป็นหนึ่งตลอด ไม่มีใครรักษาที่หนึ่งได้ตลอดหรอก ในวันนั้นเราเคยเป็นหนึ่ง จงภูมิใจสุดยอดแล้วเราเดินมาจนเป็นหนึ่งได้ แต่วันนี้ถ้าเราก้าวลงมาเป็นที่สองที่สามหรือข้างหลังก็ตามแต่ จงภูมิใจว่าเราเคยอยู่หนึ่งมาก่อนแล้ว แต่วันนี้เรามาอยู่อันดับหลังๆ เราก็อยู่ได้เพราะคนนั้นมีวิธีคิดวางตัวอยู่ในวิชาชีพเขาได้ เราคิดว่าเราไม่ได้ยึดติด เราไม่เสียดายกับโอกาสที่เคยได้มา เราคิดว่าโอกาสที่ได้มาสามารถวางตัวอยู่ในสังคมได้ เรามีวิธีคิดประกอบอาชีพทำมาหากินของเราว่าเราคือใครมาจากไหน”