ไบเดนผลักดัน “กระชับสัมพันธ์” อาเซียน เตรียมหารือ “สี จิ้นผิง” ปรามเกาหลีเหนือ
ไบเดนผลักดัน – วันที่ 12 พ.ย. เอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา เดินทางถึงกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่สมัชชารัฐสภา สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 40 และ 41 รวมถึงการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 17 ในวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ย.
และจะเดินทางต่อไปยังเกาะบาหลี ของอินโดนีเซีย เพื่อร่วมการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 ในวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ยืนยันเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย โดยนายไบเดนแถลงว่าจะหารือกับประธานาธิบดีสีถึงภัยคุกคามจากการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ เปิดเผยว่าการพบหน้าครั้งแรกของสองผู้นำชาติมหาอำนาจโลกบนเวทีจี 20 ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสีจะหารือนอกรอบแบบทวิภาคีด้วยนั้น นายไบเดนจะกล่าวกับนายสีว่าจีนมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งพฤติกรรมยั่วยุของเกาหลีเหนือ
หากเกาหลีเหนือยังเดินหน้าบนเส้นทางพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ต่อไป นั่นจะหมายถึงการขยายกองทัพและยกระดับความมั่นคงของสหรัฐในภูมิภาคเอเชีย นายซิลลิแวนย้ำว่านายไบเดนจะไม่เรียกร้องจีน แต่จะพูดกับนายสีถึงมุมมองของตนที่มีต่อสถานการณ์เกาหลีเหนือ
“เกาหลีเหนือไม่ได้เป็นแค่ภัยคุกคามต่อสหรัฐ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพทั่วทั้งภูมิภาคด้วยไม่ว่าจีนต้องการจะเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับจีน” นายซัลลิแวนกล่าว
สำหรับการประชุมร่วมกับชาติอาเซียน ประธานาธิบดีไบเดนจะผลักดันความร่วมมือระหว่างสหรัฐและอาเซียนให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีนในภูมิภาค โดยสหรัฐมีนโยบายจะยกระดับการมีตัวตัวของสหรัฐในอาเซียนในฐานะผู้ค้ำประกันเสถียรภาพ
“ความต้องการเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อการค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายและปราศจากการขัดขวาง เพื่อให้มั่นใจว่าสหรัฐมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคนี้”
“นายไบเดนต้องการใช้เวลา 36 ชั่วโมงต่อจากนี้ในการสร้างรากฐานเพื่อผลักดันการมีส่วนร่วมอย่างก้าวหน้าของสหรัฐ” นายซัลลิแวนกล่าว และว่าสิ่งนี้จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอาเซียนเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ผู้นำอาเซียนเห็นชอบ! อนุญาต “ติมอร์-เลสเตส” ร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่ 11