ไทยชนะคดี "โฮปเวลล์" ไม่ต้องจ่ายค่าโง่ 2.4 หมื่นล้าน ปิดฉากมหากาพย์ 34 ปี

Home » ไทยชนะคดี "โฮปเวลล์" ไม่ต้องจ่ายค่าโง่ 2.4 หมื่นล้าน ปิดฉากมหากาพย์ 34 ปี

“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” โพสต์แจ้งข่าวไทยชนะคดี “โฮปเวลล์”  ปิดฉากมหากาพย์โครงการคมนาคม ยาวนาน 34 ปี

วันนี้ (18 ก.ย.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเพจ  พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค – Pirapan Salirathavibhaga  แจ้งข่าว ไทยชนะคดี ที่โฮปเวลล์ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ในการยกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นค่าใช้จ่ายจากการเข้ามาลงทุนเป็นเงิน 59,000 ล้านบาท โดยระบุว่า

ยินดีกับคนไทยเราชนะคดีโฮปเวลล์ครับ#ชนะคดีโฮปเวลล์ #สู้ให้ทุกปัญหาพึ่งพาได้ทุกเรื่อง

การแจ้งข่าวดังกล่าวมีขึ้น หลัง ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จ่ายเงินจำนวน 24,000 ล้าน พร้อมดอกเบี้ย ให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังมีการพิจารณาคดีใหม่ ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565

โดยศาลปกครองกลางเห็นว่าบริษัท โฮปเวลล์ ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

สำหรับกรณีการฟ้องร้อง โครงการโฮปเวลล์ มาจาก บริษัทโฮปเวลล์ เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างเดิม ถือเป็นการยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญาจาก กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เป็นเงิน 59,000 ล้านบาท

ย้อนรอย “โครงการโฮปเวลล์”

“โครงการโฮปเวลล์” เป็นโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยมีนายมนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น

แนวคิดก่อสร้างโครงการเริ่มต้นในปี 2532 โดยกระทรวงคมนาคม ประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนก่อสร้างทางรถไฟยกระดับในเดือนตุลาคม ปรากฏว่ามีผู้ยื่นเอกสารข้อเสนอเพียงรายเดียว คือ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิงส์ (ฮ่องกง) สัญญาก่อสร้างทางรถไฟยกระดับระยะทางรวมทั้งสิ้น 63.3 กิโลเมตร

บริษัทโฮปเวลล์ ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายเอกชน ได้รับสัมปทานในการประกอบกิจการเดินรถไฟบนรางยกระดับ ระบบขนส่งทางถนนยกระดับ และเก็บค่าผ่านทาง และสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 630 ไร่ มูลค่ารวมของโครงการ 80,000 ล้านบาท โดยมีอายุสัมปทาน 30 ปี กำหนดการก่อสร้างใน 5 ช่วงของเส้นทาง สิ้นสุดในปี 2542 ใช้เวลาทั้งหมด 8 ปี

โครงการโฮปเวลล์สิ้นสุดลง โดยผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมถึง 6 คน

  • นายมนตรี พงษ์พานิช รัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ (2532-2535) ริเริ่มโครงการในปี 2532
  • นายนุกูล ประจวบเหมาะ รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน (2534-2535) เป็นรัฐบาลที่เข้ามาภายหลังรัฐประหาร มีการสั่งการให้ตรวจสอบ และล้มโครงการ
  • พ.อ.วินัย สมพงษ์ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย (2535-2538) โครงการได้รับการผลักดันต่อ
  • นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา (2538-2539)
  • นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ์ (2539-2540) เป็นช่วงที่โครงการโฮปเวลล์หยุดก่อสร้างโดยสิ้นเชิง ตามเอกสารคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ระบุว่า ในเดือน กรกฎาคม 2540
    งานก่อสร้างโครงการทั้งบริษัทโฮปเวลล์ และผู้รับเหมาช่วงหยุดชะงักแทบทั้งหมด รฟท. ขอทราบเหตุหยุดงาน แต่โฮปเวลลล์อ้างเหตุอุปสรรคของพื้นที่ก่อสร้าง ทำให้ในเดือนกันยายน กระทรวงคมนาคม นายสุวัจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการในขณะนั้น ได้เสนอ ครม. ให้บอกเลิกสัมปทาน
  • นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่สอง คณะรัฐมนตรีมีมติบอกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 โดยกระทรวงคมนาคม มีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญา และห้ามไม่ให้โฮปเวลล์ เข้าไปเกี่ยวข้องใด ๆ ในพื้นที่โครงการในวันที่ 27 มกราคม 2541

ค่าโง่ร่วม 24,000 ล้านบาท

บริษัทโฮปเวลล์ ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย หลังจากรัฐบาลเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา ซึ่งทีดีอาร์ไอ ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะความหละหลวมของข้อสัญญา

หลังบอกเลิกสัญญา รฟท. ถือว่าโครงสร้างทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ และมีความพยายามนำโครงสร้างบางส่วนมาใช้ประโยชน์ ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต

แต่โฮปเวลล์ เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างเดิม ถือเป็นการยึด หรือเวนคืนระบบ หรือพื้นที่สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญาจาก กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เป็นเงิน 59,000 ล้านบาท

คณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในเดือนพฤศจิกายน 2551 ว่า ทั้ง 2 หน่วยงาน บอกเลิกสัญญาไม่เป็นไปตามขั้นตอน จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีสิทธิ และให้จ่ายเงินชดเชยแก่โฮปเวลล์ เป็นเงิน 11,889 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5% หลังจากนั้นทั้งกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ก็ดำเนินการฟ้องต่อศาลปกครอง

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ สืบเนื่องจากกระทรวงคมนาคม และรฟท. ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่า มีการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด และมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป

ผลของคำสั่งดังกล่าวทำให้รัฐต้องคืนเงินค่าตอบแทนที่บริษัทโฮปเวลล์ ชำระและใช้เงินในการก่อสร้างโครงการพร้อมดอกเบี้ยราว 24,000 ล้านบาทให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด จากการที่รัฐบอกยกเลิกสัญญา

อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา กระทรวงคมนาคม ยังได้เดินหน้ายื่นเรื่อง เพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างถึงการนับระยะเวลา หรืออายุความในการยื่นข้อเรียกร้อง ของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ และเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ศาลศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่

ไทยชนะคดีโฮปเวลล์

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2566 ศาลปกครองกลางนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีที่มีคำขอพิจารณาคดีใหม่ คดีที่กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ฟ้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการกรณีข้อพิพาทในคดีโฮปเวลล์

โดยตุลาการได้แถลงด้วยวาจามีความเห็นต่อคดีนี้ว่า คดีที่มีการขอเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประเด็นของการพิจารณาคดีขาดอายุความนั้น หากนับตั้งแต่วันที่ตั้งศาลปกครองในวันที่ 11 ตุลาคม 2542 จะต้องมีการยื่นคดีต่อศาลภายใน 1 ปี ครบกำหนดในวันที่ 11 ตุลาคม 2543 แต่กลับพบว่าทางโฮปเวลล์ได้ยื่นคดีนี้ต่อตุลาการในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 ล่าช้าถึง 4 ปี ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีไม่เป็นผลตามกฎหมาย

ในการพิจารณาดังกล่าว ตุลาการมีความเห็นในการพิจารณาข้อพิพาทครั้งนี้ด้วยว่า

1.ควรเพิกถอนตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่พิจารณาไปก่อนหน้านี้

2.ยกเลิกคำร้องของผู้ร้องคดีทั้งสอง

และ 3.ให้คำสั่งศาลงดบังคับคดีที่เคยพิจารณาไปก่อนหน้านี้ โดยให้มีผลใช้ในช่วงระยะเวลาที่ยังมีการอุทธรณ์คดี หรือจนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน

ความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าความพยายามรื้อฟื้นคดีข้อพิพาทโครงการโฮปเวลล์ของกระทรวงคมนาคมเพื่อให้เข้าสู่ขั้นตอนพิจารณาใหม่เป็นผลแล้ว โดยตุลาการเห็นด้วยกับประเด็นของอายุความที่อาจขัดต่อข้อกำหนด เพราะมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า หากนับอายุความเมื่อศาลปกครองเปิดทำการ ที่กำหนดว่าคดีข้อพิพาทก่อนจัดตั้งศาลปกครองนั้น จะต้องยื่นมายังตุลาการภายใน 1 ปี หลังจัดตั้งศาล และมีอายุความไม่เกิน 10 ปี แต่กลับพบว่าคดีโฮปเวลล์นี้ได้มายื่นคำร้องต่อศาลล่าช้ากว่ากำหนด

ล่าสุด วันที่ 18 กันยายน 2566 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังมีการพิจารณาคดีใหม่ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 โดยศาลปกครองกลางเห็นว่า โฮปเวลล์ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ