ชายเมริกันวัย 72 บินข้ามประเทศตามหาลูกสาวชาวไทย พลัดพราก 48 ปี เจอแล้วร้องไห้โผกอดด้วยความดีใจ
ชายชาวอเมริกันวัย 72 บินข้ามประเทศตามหาลูกสาวชาวบุรีรัมย์ ที่พลัดพรากกันนาน 48 ปี ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนที่มีภรรยาชาวไทย และเจ้าของโรงแรมดังใน อ.นางรอง จนพ่อลูกได้เจอหน้ากันต่างร้องไห้โผเข้ากอดด้วยความดีใจ ลูกสาวเผยพยายามโพสต์ตามหาจนได้ติดต่อกันทางโซเชียล พ่อบอกจะมาหาตั้งแต่ปี 62 แต่เจอวิกฤตโควิดระบาดเดินทางไม่ได้ แต่โชคชะตายังเข้าข้างดีใจที่สุดในชีวิต
เรื่องราวดีๆ และภาพแห่งความประทับใจของ “มิสเตอร์เทอรี่ เฮาล์รี่” อายุ 72 ปี ชายชาวอเมริกัน และ น.ส.กาญจนา มิลเควิช อายุ 49 ปี หญิงลูกครึ่งชาว ต.ยายแย้มวัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ สองพ่อลูกที่พลัดพรากจากกันนานถึง 48 ปี แต่ทั้งคู่ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะตามหาซึ่งกันและกัน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนชาติเดียวกันที่มีภรรยาชาวไทย และเจ้าของโรงแรมชื่อดังใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จนทำให้ทั้งคู่ได้เจอหน้ากันครั้งแรกหลังไม่เคยเจอกันนาน 48 ปี ทันทีที่พ่อลูกได้เจอหน้าต่างฝ่ายก็ต่างก็ร้องไห้และโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ โดย น.ส.กาญจนา ได้นำดอกกุหลาบสีแดง และพวงมาลัยดอกดาวเรือง มามอบให้กับมิสเตอร์เทอรี่ เพื่อแสดงออกถึงความรักที่มีต่อพ่อด้วย
จากการสอบถาม น.ส.กาญจนา เล่าว่า มิสเตอร์เทอรี่ ชาวอเมริกัน เป็นอดีตทหารจีไอ หรือทหารอเมริกันเมื่อ 50 ปี ก่อนได้มาช่วยไทยรบกับเวียดนามก็พักอยู่ที่ จ.นครพนม และได้บังเอิญเจอกับ นางสุภาพร แม่ของตนเองซึ่งปัจจุบัน อายุ 73 ปี ซึ่งตอนนั้นแม่ตั้งครรภ์กับชาวอเมริกันอีกคนที่มารบช่วยไทยเหมือนกัน แต่ชายอเมริกันที่เป็นพ่อแท้ๆ กลับไม่ยอมรับแม่ แต่มิสเตอร์เทอรี่กลับดูแลเป็นคนที่ดูแลตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ จนคลอดตัวเองออกมาก็ดูแลแม่และตนเองจนอายุได้ประมาณ 1 ขวบ มิสเตอร์เทอรี่ก็เดินทางกลับประเทศ จากนั้นตนกับแม่ก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย แต่พอตนโตขึ้นก็พยายามโพสต์ตามหามิสเตอร์เทอรี่มาตลอด เพราะแม้จะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่เขาก็ดูแลเราตั้งแต่เกิดก็ผูกพันกันเหมือนพ่อลูก และทราบภายหลังว่าพ่อก็พยายามตามหาตนกับแม่เหมือนกัน
จนกระทั่งปี 2562 ก็สามารถติดต่อกันผ่านโซเชียลได้ จากนั้นก็สนทนากันทางเฟสบุ๊กมาตลอด ซึ่งพ่อบอกว่าจะมาหาตนกับแม่ที่ประเทศไทย แต่ปี 2562 เกิดวิกฤตโควิดระบาดทำให้ไม่สามารถเดินทางข้ามประเทศได้ แต่พ่อรับปากว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นจะมาหา กระทั่งวันที่ 31 ก.ค.67 ที่ผ่านมา พ่อได้เดินทางมาประเทศไทยตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์ ตนเองกับแม่โดยไม่บอกล่วงหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้เคยส่งที่อยู่ให้พ่อไว้แล้ว โดยพ่อได้ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.67 โดยบอกให้เพื่อนที่มีภรรยาชาวไทยให้มารับ แต่คลาดกันกับเพื่อนพ่อจึงนั่งรถทัวร์ มาลงที่ บขส.บุรีรัมย์ แล้วขึ้นแท็กซี่ไปที่ อ.นางรอง เพื่อจะไปตามหาบ้านลูกสาว แต่สื่อสารกับแท็กซี่ไม่เข้าใจ คนขับแท็กซี่จึงพาไปส่งที่โรงแรมนางรองเพื่อพักผ่อนก่อน
จากนั้นทางโรงแรมก็ช่วยค้นหาชื่อตนเองตามที่พ่อบอก เพราะก่อนหน้านี้ตนได้โพสต์ตามหาพ่อ เมื่อทางโรงแรมบอกว่าพ่ออยู่ที่โรงแรมนางรอง ตนก็รีบเดินทางมาหาพ่อทันที เมื่อได้เจอหน้าพ่อก็ดีใจและตื้นเต้นมาก ไม่คาดคิดว่าหลังพลัดพรากกันมานาน 48 ปีจะได้เจอกันอีก แม้จะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่เขาก็ดูแลตนตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนอายุ 1 ขวบ ก็ผูกกันเหมือนพ่อลูก พ่อมีกำหนดจะบินกลับวันที่ 21 ส.ค.67 ก็จะพ่อไปหาแม่ที่บ้านและพักอยู่ที่บ้าน หากมีโอกาสก็อาจจะเดินทางไปหาพ่อที่สหรัฐอเมริกาเหมือนกัน
ด้านนางสาวแทน วรจักร พนักงานโรงแรมนางรอง บอกว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค.67 ที่ผ่านมา แท็กซี่ได้รับผู้โดยสารมาส่งที่โรงแรม ก็พักอยู่ 1 คืน เขาพยายามจะสื่อสารว่ามาตามหาใครสักคน ซึ่งตนก็พอสื่อสารได้ประมาณหนึ่ง จึงได้โทรหาเจ้าของโรงแรมให้มาช่วยสนทนา จนทราบว่าเขาเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกามาตามหาลูกสาวที่พลัดพรากกันมานาน จากนั้นเจ้าของโรงแรมจึงได้นำชื่อลูกสาวเซิทในเฟสบุ๊ก จนพบว่ามีชื่อ กาญจนาประกาศตามหาพ่อชาวอเมริกันก่อนหน้านี้ จึงได้โทรไปตามเบอร์ที่โพสต์เอาไว้ ก็ติดต่อและแจ้งว่าพ่อเขาอยู่ที่โรงแรม ลูกสาวก็แจ้งว่าจะเดินทางมาหาที่โรงแรมให้พ่อรอ พอเห็นทั้งคู่ได้เจอกันก็รู้สึกดีใจที่ทางโรงแรมได้มีส่วนช่วยให้พ่อลูกได้เจอกัน