วันที่ 27 พ.ค. 2567 ได้เชิญนายชัยพร จริยธรรมานุกูล หรือ เฮียปุ๊ และ นางสาวไพรินทร์ มาร่วมแถลงปิดคดีกระเป๋าทองหล่นหายปริศนา พร้อมกับส่งมอบคืนให้กับผู้เสียหายรวม 49 บาท ตามจำนวนที่ได้แจ้งความไว้ หลังจากที่เกิดเหตุ ทองมูลค่า 49 บาทหาย
สุดท้ายแล้วตำรวจสามารถพิสูจน์ได้ในระยะเวลา 6 วัน ดังนั้นจึงฝากเตือนประชาชนหากท่านใดพบเห็นของตกหล่น ก็ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่ไม่งั้นจะเป็นการลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นคดีอาญาไม่สามารถยอมความได้ต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย
คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียง 6 วัน และได้รับความร่วมมือจากประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชน ที่ต่างช่วยประชาสัมพันธ์ข่าวสาร จนสามารถติดตามผู้ที่กระทำผิดมาดำเนินคดีได้ อีกทั้งในเหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้คุณไพรินทร์ ได้รับผลกระทบตกเป็นจำเลยสังคม ซึ่งภาพที่เห็นอาจจะไม่เป็นความจริง ดังนั้นตำรวจจึงสามารถพิสูจน์และไขความกระจ่างให้กับคุณไพรินทร์ได้
- จับได้แล้ว ทอง 49บาท ที่แท้ลุงขับแท็กซี่ เอาไปขายอ้างพิสูจน์ของแท้
- เจ้าของร้าน ทองหาย 40บาท ลั่น ให้รางวัลส่งคืน 1 แสนบาท
- ช็อก! สาววัย 58 ทำทอง หนัก 40 บาท หล่นหาย ย่านปิ่นเกล้า
ด้านนายชัยพร จริยธรรมานุกูล หรือ เฮียปุ๊ บอกว่า วันนี้ตนได้นำตาช่างมาตรวจสอบทองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจยึดคืนมาได้พบว่าทองอยู่ครบตามจำนวนน้ำหนักทองประกอบด้วย ทองรูปพรรณ 40 บาท และทองแท่ง 9 บาท จากการพูดตคุยกับ ลุงสง่า ผู้เก็บทอง ได้ ตนเองก็ติดใจในพฤติกรรม เนื่องจากลุงสง่าไม่สามารถอธิบายได้ และเหตุผลที่ลุงสง่าอธิบายฟังไม่ขึ้น ตนจึงตัดสินใจให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฏหมาย
เฮียปุ๊บอกอีกว่าตนมีความเชื่ออยู่แล้วว่าจะได้ทรัพย์สินคืน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปกราบไหว้พระที่นับถือในจังหวัดสุพรรณบุรีรวมทั้งหมด 3 วัด และพระทั้ง 3 วัดพูดเหมือนกัน ว่าจะได้ของคืนในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ จึงทำให้ตนเองมีความมั่นใจ อีกทั้งยังได้รายงานผลการติดตามหาทองอยู่ตลอดจึงทำให้ประสบความสำเร็จ หลังจากนี้ตนก็จะได้ไปบวชแก้บน ตามที่ได้ไปบนเอาไว้ว่าหากได้ทองคืนจะบวชพระให้ 3 วัน
ด้านนางสาวไพรินทร์ ผู้ที่ทำกระเป๋าทองตกหล่นบอกว่า วันนี้รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงอยากขอบคุณสื่อขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ช่วยติดตามจนสามารถได้ทองกลับคืนมา ที่ผ่านมาตนเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งยังยืนยันว่าจะเอาเรื่องกับผู้ที่เก็บทองไป เนื่องจากว่าหากเจ้าหน้าที่ติดตามนำทองคืนกลับมาไม่ได้ตนก็จะต้องรับผิด และต้องชดใช้เงินจำนวนดังกล่าว
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวลุงสง่าออกจากห้องสืบสวนเพื่อมาทำบันทึกกับพนักงานสอบสวนได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า อยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้หลายคนได้รับความเดือดร้อน ส่วนตนเองไม่มีเจตนาที่จะลักทรัพย์ แต่เมื่อตำรวจดำเนินคดีก็พร้อมที่จะรับโทษ โดยยืนยันว่าตนไม่มีทีวีดูไม่มีวิทยุฟังจึงไม่รับรู้ข่าวสาร