เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมเวลาเราเดินทางไปต่างประเทศ ต้องพกอะแดปเตอร์แปลงปลั๊กไฟ ทั้งที่ปลั๊กไฟก็มีไว้เสียบเหมือนกัน ทำไมถึงต้องมีหน้าตาหลากหลายแบบ สร้างความยุ่งยากให้กับนักเดินทางแบบนี้?
วันนี้ เราจะพาไปไขปริศนา “ปลั๊กไฟ” ว่าทำไมแต่ละประเทศถึงมีหน้าตาไม่เหมือนกัน พร้อมแล้วมาดูกัน
ทำไมปลั๊กไฟทั่วโลกหน้าตาไม่เหมือนกัน
1. ต่างคนต่างทำ ไม่มีมาตรฐานกลาง
ต้องพูดก่อนว่าในยุคที่ไฟฟ้าเข้ามาเริ่มต้น แต่ละประเทศต่างก็พัฒนาระบบไฟฟ้าและปลั๊กไฟของตัวเองขึ้นมาโดยอิสระ ไม่มีการตกลงร่วมกันว่าจะใช้มาตรฐานแบบไหน พอถึงวันที่ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งจำเป็น การจะเปลี่ยนแปลงระบบทีหลังก็เป็นเรื่องยาก แม้ปัจจุบันจะมีความพยายามที่จะสร้างมาตรฐานปลั๊กไฟโลก แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการเปลี่ยนระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ
2. ไฟฟ้าต่างแบบ ปลั๊กก็ต้องต่างตาม
นอกจากประวัติศาสตร์แล้ว ความแตกต่างทางเทคนิคก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลั๊กไฟแต่ละประเทศมีหน้าตาไม่เหมือนกัน เช่น
- แรงดันไฟฟ้า: อเมริกาใช้แรงดันไฟฟ้า 110-120V ในขณะที่ยุโรปใช้ 220-240V ปลั๊กไฟจึงต้องออกแบบให้ทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าที่แตกต่างกัน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้
- ความถี่: ความถี่ของกระแสไฟฟ้าก็มีผลต่อการออกแบบปลั๊กไฟ เช่นกัน อเมริกาใช้ความถี่ 60Hz ส่วนยุโรปใช้ 50Hz
- มาตรฐานความปลอดภัย: แต่ละประเทศมีมาตรฐานความปลอดภัยของปลั๊กไฟต่างกัน เช่น ขนาดและรูปร่างของขาปลั๊ก วัสดุที่ใช้ และการป้องกันไฟดูด
3. กำแพงการค้า ใครใคร่ขายขาย
ในบางกรณี การใช้ปลั๊กไฟที่แตกต่างกัน อาจเป็นการสร้างกำแพงทางการค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ไม่ให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดได้ง่ายๆ
4. แล้วเราต้องทำอย่างไร?
แม้การมีปลั๊กไฟหลากหลายแบบจะสร้างความไม่สะดวก แต่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ และเตรียมตัวให้พร้อม โดยเฉพาะเวลาเดินทางไปต่างประเทศ
ปัจจุบัน เรามีอะแดปเตอร์แปลงปลั๊กไฟให้เลือกใช้มากมาย ช่วยให้เราสามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ แม้จะเดินทางไปประเทศที่ใช้ปลั๊กไฟต่างกัน ดังนั้น อย่าลืมตรวจสอบปลั๊กไฟของประเทศปลายทาง และเตรียมอะแดปเตอร์ให้พร้อม ก่อนออกเดินทางนะครับ
อ่านเพิ่มเติม
- เครื่องหมาย สี่เหลี่ยมซ้อน คืออะไร เครื่องหมายที่ควรมี ดูก่อนเสียบชาร์จยิ่งดี
- 7 วิธีเลือกซื้อปลั๊กพ่วง เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยได้มาตรฐาน