ถ้าหากคุณเคยเดินทางด้วยเที่ยวบินระยะไกล อาจจะเคยตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมเครื่องบินของคุณจึงบินเป็นเส้นทางโค้งแทนที่จะบินเป็นเส้นตรงเมื่อคุณดูแผนที่บนเที่ยวบิน?
สิ่งนี้จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษเมื่อทำการบินระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกา เมื่อเครื่องบินจะบินเหนือกรีนแลนด์และแคนาดาตอนเหนือ แทนที่จะบินตรงๆ จากจุด A ไป B อย่างที่ปรากฏให้เห็นบนแผนที่
คำตอบของคำถามนี้ก็คือ เพราะหลักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์พื้นฐาน เส้นรอบวงของโลกอยู่ไกลจากเส้นศูนย์สูตรมากกว่าเส้นรอบวงที่ละติจูดสูงหรือต่ำกว่าที่เข้าใกล้ขั้วโลกซึ่งเป็นรูปทรงกลม
การบินรอบเส้นรอบวงที่เล็กกว่าของโลกเรียกว่า “เส้นทางวงกลมใหญ่” และยังสังเกตได้ชัดเจนสำหรับเที่ยวบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังเอเชีย ซึ่งจะบินไกลเหนืออลาสกาและไซบีเรีย แทนที่จะเป็นเส้นตรงที่ดูชัดเจน
ถ้าคุณลองนึกภาพการลากเส้นรอบโลกตรงจุดกึ่งกลางที่กว้างที่สุด แทนที่จะวาดไปทางขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ ความแตกต่างของระยะทางก็จะเริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งไม่เพียงประหยัดเวลาได้มากเท่านั้น แต่ยังประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย
เนื่องจากโลกหมุนรอบแกน จึงทำให้เส้นศูนย์สูตร “โป่งออก” และกว้างขึ้น แม้ว่าทฤษฎีบางอย่างจะชี้แนะ แต่โลกไม่ได้แบน ดังนั้น ความโค้งจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในเส้นทางการบินของเครื่องบิน ทำให้เครื่องบินจึงบินตามเส้นทางที่ดูเหมือนเส้นโค้ง ซึ่งคล้ายกับโลก โดยจำลองรูปร่างของโลก
เส้นทางการบินจะถูกวางแผนไว้ก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นบิน โดยขึ้นอยู่กับเส้นทางที่สั้นที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด และเส้นทางการบินอาจเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างการบิน ขึ้นอยู่กับสภาพอากา,ศ ลม และกระแสลมกรด นี่เป็นเพียงปัจจัยตัวแปรบางส่วนเท่านั้น
นอกจากความโค้งของโลกแล้ว กระแสลมเจ็ตสตรีมยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินในเส้นทางตรงได้อย่างสมบูรณ์ กระแสลมเจ็ตสตรีมบางครั้งอาจมีลมส่งที่ความเร็วสูงกว่า 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้เครื่องบินบินไปยังที่ที่ต้องการได้เร็วขึ้นมาก ในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงน้อยลงมาก ในทางกลับกัน หากเครื่องบินบินสวนทางกับลมที่มีความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง แผนการบินอาจลองใช้เส้นทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้
นอกจากนี้ การบินแบบโค้งยังช่วยให้เครื่องบินอยู่ใกล้ฝั่งมากขึ้น หากเกิดเหตุฉุกเฉินทางอากาศจะสามารถติดต่อภาคพื้นที่ใกล้ที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินได้ทันท่วงทีด้วย