ใบตองแห้ง – เพื่อไทยบวกก้าวไกล

Home » ใบตองแห้ง – เพื่อไทยบวกก้าวไกล


ใบตองแห้ง – เพื่อไทยบวกก้าวไกล

เพื่อไทยบวกก้าวไกล ภาษาไทยมีสองความหมาย ถ้าฝ่ายค้านชนะถล่มทลาย เพื่อไทยบวกก้าวไกลเป็นรัฐบาล

อีกความหมายหนึ่ง เพื่อไทยก้าวไกล “บวกกันเอง” จนโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง แม้ท้ายที่สุด กระแสประชาธิปไตยคงบีบให้จับมือตั้งรัฐบาล

มองมุมบวก ความหมายแรก ฝ่ายค้านน่าจะชนะ แต่ยังต้องฝ่าด่าน 250 ส.ว. ซึ่งออกมาพูดอย่างหนา รวม ส.ส.ให้ได้ 376 ก็แล้วกัน ไม่สนกระแสสังคม ภาคธุรกิจ นักลงทุน และรองเท้า 24 ล้านคู่ (ถ้าฝ่ายค้านได้ 60% ของผู้ใช้สิทธิ 40 ล้านคน)

กติกา “อประชาธิปไตย” นี้ทำให้การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยไขว้เขว ชนะเลือกตั้งเกิน 250 เสียง 350 เสียง ถล่มทลายแค่ไหน ส.ว.ตู่ตั้งก็ยังขวางไม่ให้เป็นรัฐบาล โดยยังมีอำนาจหนุนหลังทั้งปืนทั้งกฎหมาย เครือข่ายใหญ่โตมโหฬาร

จึงทำให้คาดกันว่า ถ้าเพื่อไทยชนะอันดับหนึ่ง จะบวกพลังประชารัฐ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” แบ่ง ส.ว.โควตาป้อม ซึ่งเป็นผลร้ายกับเพื่อไทย

เพื่อไทยอาจบอกว่า สื่อวิเคราะห์ให้ร้าย แต่สื่อถามแล้วถามเล่ากว่าจะยืนยันไม่จับมือพลังประชารัฐ ก็เกือบสาย “ก้าวไกลฟีเวอร์” ประกาศกร้าว มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง กรีธาทัพ 5 สาย แตกแล้วแตกเล่า เข้าจ่อกรุง

โค้งสุดท้ายเพื่อไทยจึงต้องฮึด “แลนด์สไลด์” ในความหมายได้ให้ถึง 250 ได้ให้เกินครึ่ง เพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพื่อไม่ต้องพึ่งพลังประชารัฐ

โดยในขณะเดียวกันก็หวังว่าถ้าได้เกินครึ่ง แล้วตั้งรัฐบาลกับก้าวไกล ก็จะมีอำนาจต่อรองสูง

เทียบสูตรง่ายๆ ถ้าเพื่อไทย 250 ก้าวไกล 50-60 พรรคอื่น 10-20 เพื่อไทยก็จะเป็นคนกำหนด Agenda ของรัฐบาล

แต่ถ้าเพื่อไทยได้ 220 ก้าวไกล 70-80 พรรคอื่น 10-20 ก้าวไกลก็จะสามารถกดดัน ในสิ่งที่คนเลือกก้าวไกลมุ่งหวัง คือกระทุ้งเพดานให้สูงขึ้น จากที่เพื่อไทยกำหนดไว้อย่าง “มีวุฒิภาวะ” ไม่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ จัดการทุนผูกขาด

อำนาจต่อรองนี้สำคัญมาก อ.จอน อึ๊งภากรณ์ จึงเรียกร้อง “ช่วยกันดันก้าวไกลสู่พรรคใหญ่อันดับสอง”

ในขณะเดียวกัน โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งยังเกิดความหวั่นไหว เรียกร้องให้ “เลือกแบบมียุทธศาสตร์” ไม่ให้ตัดคะแนนกันเอง ซึ่งเกิดทั้งสองขั้ว

ในขั้วรัฐบาลเดิมก็แจกโผ กำหนดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม.ให้เทคะแนน ซึ่งน่าขำ ผู้สมัครคนอื่นพรรคอื่นในเขตนั้นยอมได้ไง

ในฝั่งประชาธิปไตย ความวิตกกังวลยิ่งร้อนแรง จะเลือก ส.ส.เขตเพื่อไทยหรือก้าวไกล (บางพื้นที่มีไทยสร้างไทย) กลัวตัดคะแนนตาอยู่ชนะ ทำให้ประยุทธ์กลับมา

ความกลัวนี้ไร้สาระ “ปลุกผี” ทั้งที่ขั้วรัฐบาลเดิมไม่น่าได้เกิน 200 ถ้าเขาจะดันทุรังตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย 125+ ก็ทำได้อยู่แล้ว ฝ่ายค้านไม่มีทางรวมได้ถึง 376

การบอกให้เลือกแบบมียุทธศาสตร์ อันที่จริงมีประโยชน์ ถ้าเก็งได้ว่าใครมีโอกาสชนะมากกว่า แต่เรารู้ได้อย่างไร ในความเชื่อเดิมหรือความเชื่อทั่วไป เชื่อกันว่าผู้สมัครเพื่อไทยมีโอกาสมากกว่า แต่ฝั่งเชียร์ก้าวไกลก็แย้งว่า ภูมิทัศน์การเมืองเปลี่ยนแล้ว ก้าวไกลฟีเวอร์ทำให้มีคนเลือกเพิ่มจากอนาคตใหม่ ทั้งคนรุ่นใหม่ พลังเงียบ “สลิ่มกลับใจ” โดยไม่ใช่แค่เขตเมือง กรุงเทพฯ ปริมณฑล TikTok ไปถึงหมดในชนบท

คนที่ลังเลระหว่าง 2 พรรคก็เลยกุมขมับ เดี๋ยวนอนไม่หลับจนค่ำวันอาทิตย์ อยากบอกว่าเลือกไปเถอะ เลือกคนที่รักพรรคที่ชอบ แพ้ก็อย่าโทษกัน ครั้งหน้าแก้รัฐธรรมนูญแก้ระบบเลือกตั้งเป็นแบบ MMP ของเยอรมัน

เลือกแบบมียุทธศาสตร์จริงๆ คือภาพใหญ่ เพื่อไทยวางตำแหน่งตัวเองเป็นพรรค Mass ขายฝีมือบริหารเศรษฐกิจปากท้อง ทางการเมืองมุ่งต่อรองประนีประนอมให้เป็นประชาธิปไตยขึ้นทีละขั้น ก้าวไกลเป็นกองหน้าแหลมคมทางการเมือง ทะลุทะลวงเพดาน วางเป้าให้ทุกคะแนนเป็นพลังกดดัน “นายทุน ขุนศึก ศักดินา”

ซึ่งในตอนแรกเหมือนพรรค Mass จะแลนด์สไลด์ แต่กลายเป็นว่าก้าวไกล (ซึ่งพ่วงจุดขายการเมืองใหม่การเมืองดีมีคุณภาพ) ฟีเวอร์ทะลุขึ้นมา

นี่เป็นผลดีต่อประชาธิปไตย ในการก้าวไปข้างหน้า แม้ชนะเป็นรัฐบาลต้องเจรจาต่อรองอำนาจอนุรักษนิยม ก็จะมีพลังกดดันต่อรองเพิ่มขึ้น ก้าวไกลเพิ่มพลังให้เพื่อไทยด้วยซ้ำ

ดูเวทีปราศรัยก้าวไกลสิ “แตกแล้ว” ทีละเมืองๆ นี่มันม็อบสีส้มชัดๆ แต่คนรุ่นใหม่เรียกแฟนด้อม ลองคิดดูถ้า 250 ส.ว.ดันทุรังจะเกิดอะไร (ยุบพรรคตัดสิทธิพิธาจะเกิดอะไร)

พลังประชาธิปไตยกำลังฮึกเหิม ขอเพียงผลเลือกตั้งออกมาตามคาดหวัง สูตรประชาธิปไตยคือเพื่อไทย 220+ แต่ไม่ถึง 250 เพื่อให้ถ่วงดุลได้ ก้าวไกล 70-80 พรรคอื่น 10-20 ไม่ต้องถึง 376

รู้ผลไม่เป็นทางการแล้วรวมตัวกันแถลงข่าวตั้งรัฐบาล โดยมีผู้ใช้สิทธิ 20 กว่าล้านคนหนุนหลัง กดดัน กกต.รับรองผลเลือกตั้งใน 7 วัน 10 วัน เปิดสภาเลือกประธานแล้วเสนอชื่อนายกฯ ระดมพลังสังคมกดดัน 250 ส.ว. หรือเรียกร้องสปิริตพรรคการเมืองอื่น “ล้างบาป” โหวตนายกฯ จากเลือกตั้ง โดยไม่ร่วมรัฐบาล (นั่นแหละก้าวข้ามความขัดแย้งจริง)

เป็นรัฐบาลแล้วทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญใน 100 วัน รีบแก้ พ.ร.บ.สภากลาโหม ให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจย้ายทหาร

ประชาธิปไตยต้องได้มาด้วยการบุกทะลวง แล้วต่อรองทีละขั้น ไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วยังกลัว ประนีประนอมไว้ก่อน

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ