ใบตองแห้ง – เด็กครูสู่วิกฤต

Home » ใบตองแห้ง – เด็กครูสู่วิกฤต



วันเด็กวันครู ผู้นำแจกคำขวัญย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่การศึกษาไทยไหลลงสู่วิกฤต

สองปีที่ผ่านมา โควิดทำให้เด็กต้องเรียนออนไลน์ ทั้งที่ขาดอุปกรณ์ เน็ตกระท่อนกระแท่น เด็กยากจนชนบทแทบอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่สั่งให้ใส่เครื่องแบบหน้าจอ

การเรียนการสอนล้มเหลว เพราะบังคับให้ท่องจำ ไม่สอนให้คิดเป็น แต่ตอนออกข้อสอบ TCAS กลับยากขนาดผู้บริหาร ทปอ.ตอบไม่ได้

รัฐประหารให้เด็กท่องค่านิยม 12 ประการ ยัดเยียดหลักสูตรให้เชื่อฟังกราบไหว้ โลกยุคไหนแล้ว ความรู้ออนไลน์ล้นไปหมด พอเด็กไปศึกษามาตอบโต้ พวกขวาคลั่งก็หาว่ามีคนปั่นหัวเด็ก ยิ่งจะยัดเยียดให้เรียนประวัติศาสตร์ด้านเดียว

ระบบการศึกษาไทยกำลังวิกฤต ทั้งในแง่ทัศนคติของผู้มีอำนาจ ในการกำหนดหลักสูตร และในแง่โครงสร้างบริหารการศึกษา

ในแง่ทัศนคติ พูดง่ายๆ ว่าทัศนะไดโนเสาร์ครอบคลุมปริมณฑลการศึกษาให้ล้าหลังที่สุดในสังคมไทย เต็มไปด้วยพวกหัวเก่าสุดโข่ง ตั้งแต่บนยันล่าง เต็มไปด้วยทัศนะเจ้ายศเจ้าอย่าง แบบ ผอ.ย้ายมาย้ายไปต้องตั้งแถวกราบไหว้

ในแง่โครงสร้างบริหารการศึกษา ยิ่งมายิ่งเละ เช่นปฏิรูปการศึกษา กระจายอำนาจลงเขตพื้นที่ แล้วยุค คสช.ก็ไปตั้งศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ทับซ้อนเขตพื้นที่

ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้ครูมี 2 นาย อำนาจสั่งการ อำนาจแต่งตั้งโยกย้าย สับสน แต่ยังเพิ่มข้าราชการระดับสูง เพิ่มซี 9 ซี 10 เพิ่มเจ้าหน้าที่ งบสำนักงาน งบสร้างอาคาร ฯลฯ สิ้นเปลืองงบ ศธ.ให้ลงถึงนักเรียนน้อยลงไปอีก

พ้นยุค คสช. เรียกร้องให้ยุบ ก็ยุบไม่ลง รัฐบาลใหม่มาก็คงไม่กล้ายุบง่ายๆ เพราะกระทบตำแหน่งความก้าวหน้าของข้าราชการ

พ.ร.บ.การศึกษา ฉบับที่กำลังพิจารณาในสภา ยิ่งกว่านั้นอีก เพราะจะตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ สถาบันพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ ซึ่งมี 2 มุมชวนกังขาคือ หนึ่ง เป็นการรวบอำนาจของรัฐราชการรวมศูนย์ สอง ทับซ้อนกับ สป.ศธ. สพฐ. สอศ. (แล้วต่างก็จะไปเป็นนายของครูและโรงเรียน)

ทุกวันนี้ ครูก็ไม่เป็นอันสอนอยู่แล้ว เพราะต้องทำแบบประเมินต่างๆ ต้องทำผลงาน ต้องทำโรงเรียนสีขาว โรงเรียนวิถีพุทธ ฯลฯ ซึ่งมีผลกับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง

กระทรวงศึกษาฯ พยายามกำหนดขั้นเงินเดือนครูไม่ให้ตัน แยกสายบริหาร สายวิชาการ ขึ้นไปได้ถึงชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญพิเศษ แต่ผลออกมาลักลั่น

เมื่อเร็วๆ นี้มีเพื่อนเป็นครูตั้งปุจฉา รู้ไหม ครูสายไหนขึ้นเป็น ผอ.โรงเรียนมากที่สุด ครูคณิต ครูวิทย์ ครูภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ฯลฯ คนไม่ใช่ครูตอบให้ตายก็ตอบไม่ถูก ปรากฏว่าเป็นครูพลศึกษา

งงเหมือนกัน ไม่รู้เพราะอะไร แต่กลายเป็นว่าครูพลศึกษาได้ดีในสายบริหาร ซึ่งจะต้องไปทำปริญญาโทบริหารการศึกษา แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นรอง ผอ.

ในระดับอุดมศึกษา ล่าสุดก็เพิ่งเกิดดราม่า “ช็อปปิ้งงานวิจัยใส่ชื่อตัวเอง” จับได้ว่ามีการซื้อขายออนไลน์เพื่อใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้แต่งหรือผู้ร่วมงานวิจัยโดยไม่ได้ทำจริง แล้วเอามาเคลมเป็นผลงานวิชาการ เพื่อขอตำแหน่ง ขอทุน ซ้ำยังขอเบิกเงินจากมหาวิทยาลัยได้ เช่น ซื้องานวิจัยมา 30,000 เบิกได้ 120,000

กรณีที่เกิดขึ้นอาจแค่ 2-3 ราย แต่เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของมหาวิทยาลัยไทยยุคออกนอกระบบ ซึ่งประการแรก อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องเป็นพนักงานราชการมีสัญญาจ้าง ต้องทำผลงานขอตำแหน่งให้ได้ใน 5 ปี 7 ปี ไม่งั้นปลด

ประการที่สอง ผู้บริหารมหาวิทยาลัยไทยคลั่งการจัด Ranking มหาวิทยาลัยโลก ซึ่งนับจากการที่อาจารย์ส่งงานวิจัยไปตีพิมพ์ในวารสารที่อยู่ในระบบ Scopus ซึ่งพอมหาวิทยาลัยในประเทศด้อยพัฒนาคลั่งกันมากๆ ฝรั่งหัวใสก็ออกวารสารเก็บตังค์ คิดค่าลงตีพิมพ์

ตลกร้ายคือ วารสารเหล่านี้แทบไม่มีคนอ่าน แต่มีผลต่อการจัด Ranking ขณะที่อาจารย์บางคน เขียนหนังสือเป็นเล่ม เช่น อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ เขียนหนังสือ Infiltrating Society : The Thai Military’s Internal Security Affairs ซึ่งวารสาร Foreign Affairs’ Reviewers ยกให้เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมปี 2022 แต่กลับไม่มีผลต่อการจัด Ranking ของจุฬาฯ (ขอเบิกเงินไม่ได้สักสลึง)

สิ่งที่ อว.ควรทำจึงไม่ใช่แค่สอบเอาผิด แต่ให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายเลิกคลั่ง Ranking วางระบบประเมินคุณค่าทางวิชาการอย่างเที่ยงธรรม ไม่ใช่เอาแต่ผลงานยาวเฟื้อยไร้สาระ ไม่เข้าข้าง ไม่อคติ เพราะที่ผ่านมาก็มีหลายครั้ง ที่นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยโดนปฏิเสธ เช่น ศ.สุรชาติ บำรุงสุข เจอคนประเมินผลงานเป็นศาสตราจารย์เหลืองแก่ กว่าจะได้เป็น ศ.ก็แทบแย่

ครั้งนี้ คนที่เปิดโปง “ทุจริตเชิงวิชาการ” ก็เป็นนักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตยซะส่วนใหญ่ ในขณะที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยล้วนเป็นพวกสยบยอมอำนาจ

ย้อนกลับไปที่ พ.ร.บ.การศึกษา พรรคการเมืองที่วิจารณ์อย่างเข้มแข็งในเนื้อหาสาระ เข้าใจทัศนะการศึกษาอย่างลึกซึ้ง ก็คือพรรคก้าวไกล เช่น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้ว่ามาตรา 8 ที่กำหนดเป้าหมายผู้เรียนอายุ 6-12 ปี ไว้ยาวเฟื้อย 10 กว่าบรรทัด ไม่ยืดหยุ่นไม่สอดคล้องพัฒนาการเด็ก (พูดในแง่ตัวบทกฎหมาย การเขียน Fix ขนาดนั้นคือบ้าไปแล้ว)

อดคิดไม่ได้ว่าถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ดูแล ศธ. อว. การศึกษาไทยคงก้าวกระโดด เด็กนักเรียนนักศึกษากระตือรือร้น ครูอาจารย์รุ่นใหม่มีกำลังใจ

แต่ทางกลับกัน ไดโนเสาร์คงคลั่ง เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เป็นเงื่อนไขรัฐประหาร ยิ่งเสียกว่ารัฐบาลโกงบ้านโกงเมือง

นั่นแหละชะตากรรมการศึกษาไทย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ