นักวิชาการ 4 มหาวิทยาลัย ร่วมกับทีวีดิจิตอล 4 ช่อง จัดโหวต “เสียงประชาชน” ประกบการลงมติไม่ไว้วางใจในสภา ประชาชนเข้าไปโหวตล้นหลาม 5.2 แสนเสียง เกือบทั้งหมด 96-97% ไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี
นี่ไม่ใช่โหวตมั่วๆ เพราะใช้กติกา “หนึ่งเครื่องหนึ่งเสียง” หนึ่ง IP Address โหวตได้ครั้งเดียว IO อยากโหวตต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ อย่างเก่งโหวตได้ 2-3 ครั้ง
แต่รัฐบาลไม่แยแส กลับไชโยโห่ร้องซูเปอร์โพล อ้างผลสำรวจ 2 พันกว่าตัวอย่าง 83.7% เห็นว่าไม่มีอะไรใหม่ เสียงส่วนใหญ่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเฉพาะประยุทธ์ 61.1% แม้นั่งร้านบางคนได้เฉียดฉิวเกิน 50% นิดเดียว
หลังการอภิปรายลากไส้ แฉความไม่น่าไว้วางใจ ทั้งรัฐมนตรีขายหุ้นนอมินี รัฐมนตรีสมคบนักปั่นหุ้น ฯลฯ รัฐบาลชนะตามคาด แต่เป็นการโหวตฉาวโฉ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทั้งล็อบบี้ แจกกล้วย ไลน์หลุด ผลประโยชน์ขัดกัน หักกันเองทั้งในพรรคข้ามพรรค
รัฐบาลยังตีมึน Move On ตีขลุมตัวเองชนะ ฝ่ายค้านไม่มีอะไรใหม่ แค่เกมการเมือง ฯลฯ คุยฟุ้งตั้งแต่ประยุทธ์ไปถึงประชาธิปัตย์ ตีฝีปากเย้ยฝ่ายค้าน ประกาศจะดันจุรินทร์เป็นนายกฯ สมัยหน้า
ทั้งที่ได้คะแนนไว้วางใจน้อยที่สุด น้อยกว่าประวิตรถึง 27 คะแนน กล้าพูดไม่อายปาก
นี่ไม่ใช่ฝ่ายค้านไร้ความสามารถ แต่ฉีกกระชากเปิดแผลอย่างไร รัฐบาลก็ไม่แยแส ไม่สนใจปฏิกิริยาสังคม “หนา” ซะอย่าง ไม่ยอมรับความล้มเหลว หรือความไม่น่าไว้วางใจ ใช้โฆษก PR ออกข่าว Propaganda รายวัน หวังมอมให้คนเชื่อ ทั้งที่หลอกได้แต่ตัวเอง
หนาสุดๆ อย่างนี้ ฝ่ายค้านก็จนปัญญาเหมือนกัน การอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกยุคสมัย เป็นธรรมดาที่เสียงข้างมากชนะ แต่พรรคการเมืองจากเลือกตั้ง ต้องคำนึงถึงเสียงประชาชน ถ้าฝ่ายค้านสามารถอภิปรายให้ประชาชนกังขา แม้รัฐบาลชนะ ก็จะถูกบีบให้ปรับเปลี่ยน ยุบสภา ลาออก หรืออย่างน้อยปรับ ครม.
แต่นี่ไม่มีเลย ถ้าจะมีปรับ ครม.ก็เพียงจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัว หรือเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง ความแตกแยกในรัฐบาล ก็ไม่ใช่ความแตกแยกที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แค่แย่งตำแหน่งแย่งผลประโยชน์มากกว่า
รัฐบาลนี้ก่อตั้งมาด้วยความ “อย่างหนา” ตั้งแต่ต้น หนาด้วย 250 ส.ว.ตู่ตั้งมาโหวตตู่ บีบพรรคการเมืองให้ต้องเข้าร่วมรัฐบาล เอาชนะฝ่ายค้านด้วยสูตรคำนวณ ส.ส.เศษมนุษย์ แล้วก็ใช้การยุบพรรคตัดสิทธิดูดงูเห่า จนเสียงคู่คี่สูสีกลายเป็นเสียงข้างมากอย่างสัมบูรณ์
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ยิ่งยกระดับความ “อย่างหนา” ไปสู่ New Normal คือลอยหน้าลอยตาไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น
ความอย่างหนาดันทุรังนี้ มาจากความเชื่อมั่นอำนาจหนุนหลัง ไม่ใช่จากความนิยมของประชาชน เชื่อว่ารัฐพันลึก อำนาจอนุรักษนิยม ยังไงก็หนุนประยุทธ์ และอุ้มชูพรรคร่วมรัฐบาล ขณะเดียวกันก็เชื่อมั่นการเมืองอุปถัมภ์ ส.ส.บ้านใหญ่ กลไกรัฐเข้มแข็ง กระสุนเพียบ จะทำให้ชนะเลือกตั้ง ทั้งที่คะแนนนิยมรัฐบาลตกต่ำ
ทิศทางของพรรครัฐบาล ยิ่งดูเหมือนจะมีความเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียว คือเป็นศัตรูกับฝ่ายค้าน กับมวลชนประชาธิปไตย ไม่ว่าม็อบเสื้อแดงหรือม็อบคนรุ่นใหม่ การเลือกตั้งสมัยหน้า พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย จะไม่แตกต่างกันในสายตามวลชน คือเป็น “ศัตรู”
ที่ใครเคยเชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยได้ อาจไม่แน่เสียแล้ว พรรคเพื่อไทยอาจร่วมได้ แต่มวลชนร้องยี้ ไม่ยอมให้จูบปากห้อย
ความเป็นปรปักษ์นี้ยิ่งชัดเจนหากย้อนดูผลโหวต “เสียงประชาชน” 5 แสนกว่าคน ส่วนใหญ่คือเสียงคนชั้นกลางในเมือง อย่างที่เคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้ว เรากำลังย้อนยุค “สองนครา” คนชั้นกลางในเมืองที่เคยไล่รัฐบาลจากชนบท เป็นปรปักษ์กับนักการเมืองบ้านใหญ่แบบภูมิใจไทย พลังประชารัฐ โดยธรรมชาติ ทั้งที่ส่วนหนึ่งเคยไล่ทักษิณ แต่ตอนนี้นอกจากสลิ่มหยิบมือหนึ่งยังเชียร์ประยุทธ์ คนชั้นกลางรุ่นเก่าก็พะอืดพะอมกับนักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ต้องพูดถึงคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่ชูสามนิ้วไปแล้ว
พรรคประชาธิปัตย์อาจมีฐานคนชั้นกลางในเมืองรุ่นเก่าบ้าง แต่ถ้าดูจากผลเลือกตั้ง กทม. และความนิยมชัชชาติที่พุ่งไม่หยุด ก็น่าจะตัดสินใจถูกแล้วที่ปรับทิศทางไปเป็นพรรค “บ้านใหญ่ภาคใต้และภาคตะวันตก”
ความดันทุรังทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ แบบแก้รัฐธรรมนูญระบบเลือกตั้ง เป็นบัตรสองใบ 400-100 แล้วหักลำเป็น “หาร 500” ใน พ.ร.บ.เลือกตั้ง แล้วก็จะกลับไป “หาร 100” อีก กระทั่งจะแก้รัฐธรรมนูญกลับไปเป็นบัตรใบเดียว จะยิ่งทำให้ประชาชนโกรธ “กติกาอันธพาล” เปลี่ยนตามอำเภอใจอย่างหน้าด้านๆ
ทั้งหมดนี้แม้ทำให้รัฐบาลอยู่ต่อได้ เปิดคนละครึ่งเฟสใหม่ ถึงที่สุดก็อาจเป็นได้ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะชนะเลือกตั้ง เพราะคุมหมดทั้งอำนาจกลไกกติกา และกระเป๋าหนักกว่า “แลนด์สไลด์‘ ของเพื่อไทย อาจเป็นแค่ความเพ้อฝัน เพราะเสียเปรียบทุกด้าน
แต่สิ่งที่จะเกิดสวนทางคือ กระแสสังคม กระแสคนชั้นกลาง โลกออนไลน์ จะไม่ยอมรับการเมืองในระบบรัฐสภา ที่ถูกผูกขาดครอบงำ
ฟังแล้วอาจคล้ายสมัยต่อต้าน “เผด็จการรัฐสภา” ยุคทักษิณแต่ไม่ใช่ เป็นคนละคุณภาพ และยุคนี้คืออำนาจรัฐประหารควบคุมอยู่เหนือรัฐสภาอย่างแท้จริง