คำนวณจากโพล คำนวณวงนอกวงใน หลายวงเชื่อว่า “พรรคฝ่ายประชาธิปไตย” มีโอกาสได้ ส.ส.รวมกันเกินครึ่ง อาจจะถึง 300 เสียง หรือมากกว่า
ที่มองเช่นนั้นเพราะโพลส่วนใหญ่ (ที่ไม่ซูเปอร์) เพื่อไทย+ก้าวไกล+เสรีรวมไทย+ประชาชาติ+ไทยสร้างไทย ได้เกิน 60% ไม่ว่าคะแนนพรรคหรือนายกฯ
บางคนอาจแย้ง โพลกระแสไม่สู้กระสุน ถึงเวลาหย่อนบัตร คนจำนวนมากที่ไม่อยู่ในโพล เลือก “บ้านใหญ่” ระบบอุปถัมภ์
อนุทินจึงหัวเราะก๊าก หากภูมิใจไทยได้ ส.ส. 3% ตามโพล จะเลิกเล่นการเมือง
ใช่ครับ ส.ส.ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ไม่ต่ำเตี้ยตามโพลหรอก แต่หากเจาะรายภาค ดูทั้งกระแสพรรคและผู้สมัคร ก็เห็นชัดว่าเพื่อไทยครองตัวเก็งในภาคเหนือภาคอีสาน ผู้ท้าชิงส่วนใหญ่เป็นภูมิใจไทย มีพลังประชารัฐเป็นหย่อมๆ โดยทั้งสองพรรคนำแน่แค่บางจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ อุทัยธานี เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พะเยา ที่เหลือลุ้นหนัก ขณะที่ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ มีผู้ท้าชิงน้อยมาก
ภาคกลางชุลมุน ประเมินหยาบๆ กระจายทุกพรรค ภาคตะวันออก ลูกกำนันเป๊าะย้ายกลับเพื่อไทย ชน “เสี่ยเฮ้ง” หลบไปปาร์ตี้ลิสต์
กรุงเทพฯ 1.3 ล้านเสียงเลือกชัชชาติ ไม่เลือกเพื่อไทยก็ก้าวไกล ถ้าพรรครัฐบาลจะมีโอกาสคือ 2 พรรคตัดคะแนนกัน
รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ไปตกคลักอยู่ภาคใต้ ตกปลาในบ่อที่มี ส.ส.แค่ 60 คน หรือเอาเข้าจริง 50 กว่าคน เพราะสามจังหวัดชายแดน พรรคประชาชาติเป็นเจ้าถิ่น
ดูภาพรวมทั้งประเทศจึงคำนวณได้ง่ายๆ ถ้าฝ่ายค้านจะแพ้ คือภูมิใจไทยชนะถล่มทลาย ได้ 100 ส.ส.ขึ้นไป หรือประยุทธ์กลายเป็นเทพเจ้า พลังเงียบเทคะแนนให้รวมไทยฯ
เพื่อไทย+ก้าวไกล+ประชาชาติ+เสรีรวมไทย+ไทยสร้างไทย = 300+ จึงเป็นไปได้สูง แม้ตัวเลขไม่นิ่ง ก็จะช่วงชิงในฝ่ายเดียวกันมากกว่า
อย่างที่โพลสื่อสำนักหนึ่งระบุ คนยังไม่ตัดสินใจ 1 ใน 3 “ฝั่งเสรีนิยม” ลังเลระหว่างเพื่อไทยก้าวไกล “ฝั่งอนุรักษนิยม” ลังเลระหว่างประชาธิปัตย์กับรวมไทยสร้างชาติ แต่ไม่ข้ามฟากเด็ดขาด
ยกตัวอย่าง ถ้าตู่กระแสตก คะแนนอนุรักษ์ก็จะหวนกลับประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะภาคใต้ แม้โพลประยุทธ์นำจุรินทร์โด่ง แต่ในแง่ตัวบุคคล ผู้สมัคร ปชป.ล้วน “บ้านใหญ่”
คนอีกฝ่ายจึงแซวขำๆ ถ้าหวังไม่ให้รวมไทยสร้างชาติได้ถึง 25 เสียง ต้องฝากความหวังไว้กับคนใต้ ให้กลับไปเลือกพรรคสะตอ
ใน “ฝั่งเสรีนิยม” ก็เช่นกัน ที่ช่วงชิงโค้งสุดท้ายคือ เพื่อไทย Vs ก้าวไกล ต่างรณรงค์ให้เลือกพรรคตัวเองทั้งสองใบ คะแนนที่ไหลไปมา จะชี้ว่าเพื่อไทยได้ 230-240-250-260 แล้วก้าวไกลได้ 30-40 หรือ 50 หรือ 60 โดยเหลือให้พรรคอื่น 10+
พูดเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มี “คนตรงกลางๆ” แต่เพราะความเบื่อรัฐบาล 4 ปี 9 ปี คนตรงกลางๆ เลือกแล้วว่าจะเลือกฝ่ายค้าน เพียงลังเลว่าพรรคไหน
กระแสก้าวไกลพุ่งขึ้น จากการดีเบต จากภาพลักษณ์ผู้สมัคร คนหนุ่มสาว คนธรรมดา ที่กล้าทำการเมืองใหม่ ไม่ใช่การเมืองแบบเดิมๆ ระบบอุปถัมภ์ แต่เพื่อไทยก็ช่วงชิง จากความเชื่อมั่นฝีมือบริหารเศรษฐกิจ แจกเงินหมื่นดิจิทัล และความเป็นพรรคใหญ่ที่ยังไงๆ ก็จะเป็นแกนนำรัฐบาล
ทั้งสองพรรคทั้งช่วงชิงมวลชนประชาธิปไตยและคนตรงกลางๆ ที่เบื่อรัฐบาล
คำถามสำคัญคือ หลังเลือกตั้ง ทั้งสองพรรคจะร่วมรัฐบาลกันได้ไหม โดยเฉพาะเพื่อไทยที่ถูกสื่อและนักวิเคราะห์คาดเก็งว่า อาจจะจับมือกับพลังประชารัฐ เพื่ออาศัย 250 ส.ว.เครือข่ายประวิตร แม้เพื่อไทยปฏิเสธ ก็ถูกกดดันให้ตอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ล่าสุด อุ๊งอิ๊งประกาศ “ดูหน้าไว้นะคะ” ไม่อยากจับมือกับคนทำรัฐประหาร
กระนั้น ประวิตรยืนยันไม่ได้ร่วมทำรัฐประหาร คนจำนวนหนึ่งก็ยังไม่เชื่อว่า เพื่อไทยจะไม่จับมือพลังประชารัฐ (ซึ่งนอกจากป้อม, ไพบูลย์, ชัยวุฒิ, นิพิฏฐ์ ที่เหลือล้วนอดีตเพื่อไทย)
ความไม่มั่นใจนี้มีผลต่อคะแนนเพื่อไทย เพราะ FC ทั้งสองพรรคมีไม่น้อยที่อยากให้เพื่อไทยประกาศว่า จะจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันก่อน (แล้วถ้าเจรจากันไม่ได้หรือไม่สำเร็จค่อยไปเจรจาพรรคอื่น ฯลฯ)
แต่ท่าทีเพื่อไทยไม่คิดเช่นนั้น เพื่อไทยหวังปลุกกระแสให้คนฝั่งเสรีนิยมเลือกตัวเองให้มากที่สุด ให้ได้ ส.ส.เกินครึ่ง 250-260 เพื่อกุมอำนาจตัดสินใจ “ประชาธิปไตยพรรคเดียว” แบบอดีต หลังจากนั้นค่อยว่ากันว่าร่วมรัฐบาลกับใคร
นี่เป็นประเด็น Dilemma เพื่อไทยอาจคิดว่าต้องเป็นรัฐบาลไว้ก่อน เพื่อแก้ปากท้อง เพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อยับยั้งอำนาจ ฯลฯ ฉะนั้นหากจำเป็นก็ต้องยอมต่อรองแลกเปลี่ยน
แต่การประกาศ “สัญญาประชาคม” ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปไตยก่อน เป็น “ความชอบธรรมทางประชาธิปไตย” ที่สำคัญยิ่ง แม้ดูนามธรรม
อย่าเพิ่งกลัวว่า 250 ส.ว.ขัดขวาง ถ้าตั้งรัฐบาลไม่ได้ พลังเลือกตั้งจะลุกฮือ ภาคธุรกิจการลงทุนจะประณาม หลังจากนั้นหากต้องประนีประนอมค่อยว่ากัน
พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยควรตระหนักว่า ไม่ว่าจะเจรจาต่อรองหยวนยอมเพียงไร เครือข่ายอำนาจอนุรักษ์ก็จ้องเล่นงานคุณอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเพื่อไทย+ก้าวไกล เรียงหน้าท้าชน หรือรัฐบาลเพื่อไทย+พลังประชารัฐ มุ่งแก้ปากท้อง ไม่เกิน 2 ปีก็โดนจ้องเอาผิดยุบพรรคตัดสิทธิ หรือม็อบไล่เรียกหารถถัง
การเดินบนวิถีประชาธิปไตย ยึดความชอบธรรม ชนะเลือกตั้งแล้วรีบแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ จึงสำคัญที่สุด