“ไม่เข้าใจทำไมต้องห้ามขายเหล้าเบียร์ในวันทางศาสนาวะ นี่ฝรั่งโต๊ะข้างๆ ก็ตื๊อทำนองบอกกูไม่เกี่ยวขายกูเถอะ 5555”
ยูทูบเบอร์ Benz Apache โพสต์เรียกเสียงฮา พร้อมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้ามขายเหล้าบ่ายสองถึงห้าโมงเย็น
หนักกว่านั้น ประยุทธ์มอบคำขวัญ “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” วันเข้าพรรษา “ปลอดเหล้า ปลอดโรค ปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19”
โควิดเกี่ยวตรงไหนหว่า ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เหล้าเบียร์ไม่ใช่พาหะ แค่หมออ้างว่าก๊งเหล้าทำให้นั่งด้วยกันนาน ทั้งที่ล้อมวงกินน้ำหวานก็ติดเหมือนกัน ที่ต้องปิดผับเพราะนั่งสุมในอากาศปิด จะดื่มเหล้าหรือดื่มนมก็ติดทั้งนั้น
แต่ช่วงโควิด รัฐบาลก็ฉวยโอกาสห้ามขายเหล้า อาศัยว่าเป็นอบายมุข เป็นบาป การจำกัดสิทธิเสรีภาพคนดื่มเหล้าเป็นความดีทางศาสนา เป็นการทำบุญ ได้ไปสวรรค์ ทั้งรัฐทั้งหมอคิดเหมือนกัน ทั้งที่หมอเรียน Anatomy ควรจะรู้ว่าตายแล้วเป็นปุ๋ย ไม่มีนรกสวรรค์
กฎหมายห้ามขายเหล้าวันพระใหญ่นั้นน่าขำ ถ้ามองว่าผิดศีล ทำไมไม่ห้ามผลิตห้ามขายไปเลย ทำไมลักปิดลักเปิด ห้ามวันพระใหญ่ ห้ามวันเลือกตั้ง ทั้งที่ควรห้ามข้อเดียว เมาขับโทษหนัก ถ้าอยากให้เลิกก็รณรงค์ทางความคิด ไม่ใช้อำนาจบังคับ หรือยกคำว่า “บาป” มาปิดปาก
คนรุ่นหลังอาจไม่รู้ว่า เมืองไทยในอดีตไม่เคยห้ามขายเหล้าเบียร์วันสำคัญทางศาสนา เพิ่งมาเริ่มยุคเปรม แต่ตอนนั้นใช้วิธีขอความร่วมมือ จนหลังรัฐประหาร 2549 จึงออก พ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์ แล้วออกประกาศสำนักนายกฯ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ขันนอตอีกทีในรัฐบาลประยุทธ์ปี 2558
ทั้งที่ไทยไม่ใช่รัฐพุทธ แต่สมมติฝรั่งขายเหล้ากันเองก็มีความผิดจำคุก 6 เดือนปรับ 10,000 บาท
สังเกตไหมว่ารัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง (หรือมาจากค่ายทหาร) หวังพึ่ง “ศีลธรรม” เพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนดีย์ ทั้งที่ไม่มีความชอบธรรม
มองกว้างไปทั้งโลกก็น่าสังเกตว่าอิทธิพลความคิดทางศาสนา กำลังถูกปลุกให้หวนมาใช้อำนาจศีลธรรมปิดกั้นเสรีภาพ
ไม่ใช่แค่ตาลิบันห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือ แต่ศาลสูงสุดสหรัฐก็เพิ่งตัดสิทธิผู้หญิงทำแท้ง ล้มล้างคำพิพากษาเดิมตั้งแต่ปี 2516 โดยผู้พิพากษาเสียงข้างมากมาจากการแต่งตั้งยุคทรัมป์
นี่มาจากการรณรงค์ของพวกเคร่งศาสนาในพรรครีพับลิกัน Pro Life ซึ่งเห็นว่าชีวิตจุติตั้งแต่ในครรภ์ ขณะที่ฝ่าย Pro Choice เห็นว่าควรดูความพร้อมของพ่อแม่ การห้ามทำแท้งจะยิ่งเกิดทำแท้งเถื่อนซึ่งอันตราย
เอาเถอะ เถียงกันได้ แต่น่าคิดไหม 49 ปีผ่านไปทำไมโลกหมุนกลับ? สำหรับคนที่เติบโตมาในยุค 60-70 ที่เห็นมนุษย์อวกาศเหยียบดวงจันทร์ ที่ฟังเพลง Imagine ของ Beatles แล้วทลายกำแพงความคิดเก่า เปิดความคิดเสรี ความเท่าเทียมทางเพศผิวชาติพันธุ์ เสรีภาพในการนับถือศาสนา (หรือไม่นับถือ) ฟอกล้างความคิดงมงายแบบพระเจ้าสร้างโลก ฯลฯ
มันช่างน่าประหลาดใจว่าในยุคนั้น ศาสนายังไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเท่ายุคนี้เลย
เช่นในตะวันออกกลางที่ขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ PLO ต่อสู้กับ “จักรพรรดินิยมอเมริกา” PLO ก็เป็นขบวนการชาตินิยม Secularism (แยกศาสนาออกจากการเมือง) อาจเป็นได้ว่าโลกยุคนั้นเป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่ได้อิทธิพลจากคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่มีศาสนา แต่หลังสังคมนิยมล่มสลาย ก็เกิดอัลกออิดะห์ ตาลิบัน IS มาเป็นลำดับ
ไม่ใช่แค่โลกมุสลิม ในอเมริกา ฐานเสียงของทรัมป์คือพวกเคร่งศาสนา ลามไปถึงละตินอเมริกา เช่นประธานาธิบดีฝ่ายขวาของบราซิล โบลโซนารู ชนะเลือกตั้งเพราะพวกเคร่งศาสนาหนุน
ที่อินเดีย พรรคชนตะชนะล้นหลามเพราะปลุกชาตินิยมฮินดู ใช้อำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพคนมุสลิม ที่ศรีลังกา ซึ่งประธานาธิบดีหนีออกนอกประเทศ ก็มีพวก “ชาตินิยมพุทธสุดโต่ง” หนุนไม่ลืมหูลืมตา ที่ตุรกี ซึ่งเป็น Secular State มาตั้งแต่ยุคเคมาล อตาเติร์ก ก็เปลี่ยนเป็นอำนาจนิยมหลังชนะเลือกตั้งล้นหลามโดยอิงศาสนา
ทำไมจึงเกิดกระแสนี้ในโลก เป็นเพราะโลกหลังสงครามเย็น เข้าสู่เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ “นีโอลิเบอรัล” ซึ่งปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกตลาด กระทั่งเกิดวิกฤต เช่นต้มยำกุ้ง ซับไพรม์ คนจำนวนมากล้มละลายเสียบ้านเสียงานในขณะที่รวยจนเหลื่อมล้ำรุนแรง ยิ่งเข้าสู่เทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งกวาดโลกทั้งใบไปอยู่ใต้กลุ่มทุนเทค และธุรกรรมเก็งกำไร แบบอีลอน มัสก์ พูดอะไรหน่อยเดียวค่าเงินคริปโตพุ่ง
ความไม่พอใจ ความวิตกกังวล ความเคว้งคว้างไม่มั่นคง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจ กลายเป็นโอกาสของผู้นำอำนาจนิยม ปลุกชาตินิยม อ้างศาสนา สร้างความคับแคบเกลียดชัง ทั้งที่ศาสนาไม่น่าสอนให้เกลียดชัง แต่เอามาสร้างโลกแคบแล้วปิดกั้น
นี่คืออันตรายของโลกยุคปัจจุบัน ที่กำลังจะเข้าสู่ยุคตัวใครตัวมัน ทำเพื่อผลประโยชน์ตน เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ต้องหาทางควบคุม แต่ประเทศต่างๆ ที่ปลุกเกลียดชังเสรีนิยม มาจำกัดสิทธิเสรีภาพ ก็มีความเหลื่อมล้ำลิบลิ่ว ทั้งที่อ้างศาสนา
เมืองไทยอาจยังไม่ถึงขั้นใช้ศาสนาปลุกเกลียดชัง แต่มีแนวโน้มความคลั่ง จากที่เห็นการปลุกเกลียดชัง “สามกีบ” นั่นไง