การเมืองอยู่ในช่วง “ปิงปอง” โต้กันไปโต้กันมา มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่เห็นอะไรดีขึ้น ได้แต่รอเลือกตั้ง
ประยุทธ์พ้นโทษกัก กลับมาก็กลายเป็น “บ้องตัน” ไม่พูดไม่ตอบว่าตัดสินใจอย่างไร ยุบสภาหรืออยู่ครบวาระ จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อไหม พรรคพลังประชารัฐหรือพรรคอะไร
“บ้องตันสยบความเคลื่อนไหว” ประยุทธ์ท่องคาถาไปวันๆ “ผมมีหน้าที่บริหารราชการให้โปร่งใสให้ดีที่สุดอย่างที่ตั้งใจไว้…พยายามทำทุกอย่างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ อยากให้ทุกอย่างดีขึ้น เพื่อประเทศของเรา สถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของเรา และเพื่อประชาชน”
พยายามมา 8 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น คว่ำกฎหมายเป็นเรื่องสภา ควบรวมทรูดีแทคเป็นเรื่ององค์กรอิสระ บ่อน-ผับ-มาเฟีย เป็นเรื่องตำรวจ ขึงขังสั่งปราบแล้วไง แต่ใครหว่าเป็นนายกฯ 8 ปี ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ตั้งมากับมือทั้งนั้น พอฉ้อฉลไร้ประสิทธิภาพบอกว่าไม่เกี่ยว
การเมืองที่ดูเหมือนตัน เพราะอยู่ใต้อำนาจที่คาดเดาไม่ได้ อำนาจที่ไร้เหตุผล แต่ใหญ่เหนือประชาชน จะตัดสินใจอย่างไร จะให้ใครไปต่อ จะให้ใครมาแทน มีแต่ความเงียบงัน เหมือนทุกฝ่ายรอใบสั่ง
แต่มองอีกด้านก็เป็นได้ว่า เครือข่ายอำนาจถึงทางตันเหมือนกัน จะดันทุรังให้ตู่อยู่ต่อ ก็รู้ว่าโอกาสแพ้เลือกตั้งสูง หาคนใหม่ก็สร้างไม่ทัน หรือจะหันไปประนีประนอมกับเพื่อไทย?
ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้น พรรคการเมืองก็ช่วงชิงซัดกันไปมา ไม่เว้นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่วิวาทะกันในประเด็นมโนสาเร่ propaganda ทำเป็นไม่เห็นช้างตัวใหญ่ในห้อง-ยกเว้นพรรคก้าวไกล ทำราวกับเป็นการเลือกตั้งในประชาธิปไตยปกติ ไม่มี 250 ส.ว. ไม่มีใบสั่ง ไม่มีจ้องยุบพรรค
ในแง่หนึ่งอาจเป็นสถานการณ์สัมพัทธ์ หลังโควิด หลังฉุกเฉิน ก่อนปีใหม่ หลังฮือไล่ “ประยุทธ์ 8 ปี” แต่ศาลรัฐธรรมนูญให้ไปต่อ ก็เหมือนลูกโป่งยุบ กระแสคนรุ่นใหม่แม้ไปต่อเชิงลึก ทางวิชาการ ทางวัฒนธรรม แต่กระแสวงกว้างเหมือนคนไทยสนใจแต่ตัวเอง หรือสนใจแต่ข่าวดารา ดราม่า มากกว่าการใช้อำนาจไม่ชอบธรรมซ้ำซาก ไม่ยุติธรรมซ้ำซาก ละเมิดสิทธิซ้ำซาก เหมือนกับเกิดในต่างประเทศ เช่นผด็จการทหารพม่าฆ่าประชาชน ตำรวจศีลธรรมอิหร่านทุบผู้หญิงตาย หรือรัสเซียยิงขีปนาวุธใส่พลเรือน (ซ้ำซาก)
เข้าใจดีว่าการต่อสู้ยืดเยื้อกับอำนาจดื้อด้านดันทุรังทำให้คนเบื่อหน่าย อำนาจที่คุมประเทศนั้นใหญ่โตจนยากจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าพลังต่อต้านไม่เข้มข้นแหลมคม อำนาจยิ่งย่ามใจ
เข้าใจนะว่าระหว่างการต่อสู้ต้องมีต่อรอง แต่ถ้าหวัง “แลนด์สไลด์” แล้วเกี้ยเซี้ย ก็ทำให้คนเบื่อหน่ายเหมือนกัน
การเมืองที่ซึมอยู่นี้เป็นเพราะถูกตั้งเป้าให้ไปสู่การเลือกตั้งโดยไม่แตะโครงสร้าง ตั้งเป้าแค่ประยุทธ์ แค่เปลี่ยนรัฐบาล ถ้าประยุทธ์ไม่ลงเลือกตั้งอีกคงไชโยโห่ร้อง ฟ้าสีทองผ่องอำไพ
มันใช่ประยุทธ์คนเดียวเสียที่ไหน มันเป็นระบอบอำนาจ เครือข่ายอนุรักษ์ ที่ใช้ปืนใช้กฎหมายกดทับประชาธิปไตย
การเมืองจะไม่ปิงปอง ฝ่ายประชาธิปไตยต้องต่อสู้เรื่องหลักการ ไม่ใช่แค่วิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวในการบริหาร (ซึ่งชาวบ้านรู้หมดแล้ว) เพื่อเอาชนะเลือกตั้ง
การเมืองที่ไม่ปิงปอง ต้องปลุกไปสู่การลงประชามติ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้ง สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยแน่ละ ต้องประกาศนโยบาย “กินได้” สร้างความเชื่อมั่นว่าจะบริหารประเทศให้ดีขึ้นทุกด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่แค่รบกับรัฐบาล ต้องหาเสียงด้วยการเปิดศึกกับระบอบ เช่น รณรงค์ต่อต้านไม่ให้ 250 ส.ว.ประยุทธ์ตั้งโหวตนายกฯ อีก
ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รื้ออำนาจรัฐราชการ เหล่านี้เป็นประเด็นที่พรรคฝ่ายรัฐบาลไม่มีทางพูดถึง มีแต่หาเสียงด้วยระบบอุปถัมภ์ ถูกตำรวจถูกข้าราชการรังแกเรอะ พึ่ง ส.ส.มีเส้นสายช่วยเหลือได้
การบิดเบือนกฎหมาย ความอยุติธรรม กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศนี้ เพราะจากที่ใช้อย่างบิดเบือนกับคนต่อต้าน กับ 112 มันก็ทำให้กลไกเช่นตำรวจมีอำนาจมาก ยัดข้อหาชาวบ้านได้
การปลุกกระแสไปสู่เลือกตั้ง จึงไม่ควรหาเสียงเพียงว่า ฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลแล้วจะทำให้ปากท้องดีขึ้น แต่ต้องปลุกกระแสปฏิรูปประชาธิปไตย ปฏิรูปอำนาจ ปฏิรูปรัฐราชการ ใช้การหาเสียงโฆษณากระจายเสียงหลักการประชาธิปไตยไปพร้อมกัน
ในขณะเดียวกัน พรรคฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องหาเสียงรณรงค์ปฏิรูปการเมือง ต่อต้านนักการเมืองหาผลประโยชน์ ทุจริตฉ้อฉล รวมตัวกันเป็นกลุ่มแก๊ง ดูดงบประมาณลงพื้นที่ ไม่สังฆกรรมกับคนเหล่านี้ ไม่รับเข้าพรรค ไม่ร่วมรัฐบาล แม้มันดูเหมือนทำให้ชนะเลือกตั้งหรือได้เป็นรัฐบาลง่ายกว่า แต่จะทำให้การเมืองกลับสู่วงจรเดิม
อยากเห็นพรรคฝ่ายค้านได้ ส.ส. 270 คนแล้วตั้งรัฐบาล ไม่ได้ ถูก 250 ส.ว.ขัดขวาง ถูกยุบพรรคตัดสิทธิ ใบแดงใบดำ หรือถูกดูดอีก มากกว่าเห็นพรรคฝ่ายค้านจับมือภูมิใจไทยหรือพลังประชารัฐตั้งรัฐบาล
เพราะอย่างแรกต่างหากที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแผ่นดิน