โควิด 19 :โอมิครอน BA.5 แข็งแรงกว่าที่เคยมีมา ระบาดเร็วขึ้น ติดง่ายขึ้น ถึงติดแล้วก็ติดซ้ำได้ มีสกิลการหลบหลีกภูมิคุ้มกันมากขึ้น
วันที่ 10 ก.ค. 65 เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้แชร์ข้อความจากเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat หรือ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแรงและพัฒนาเร็วของ โควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.5 ที่มีความแข็งแรงมากกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยมีมา สามารถแพร่กระจายเชื้อได้เร็วมากขึ้น เตือนประชาชนอย่าพึ่งชะล่าใจ
‘หมอธีระ’ ชี้ Omicron BA.5 แข็งแรงมากกว่าทุกสายพันธุ์ สมรรถนะขยายวงการระบาดเร็วขึ้น หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น ส่งผลติดง่าย ทั้งติดใหม่และติดซ้ำ เผย อัตราครองเตียง รพ.เอกชนพุ่ง
วานนี้ วันที่ 9 กรกฎาคม 2565 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’
“…สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer
เช้านี้พบว่า จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 12 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม
…Omicron BA.5 นั้นแพร่ระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสองปัจจัยสำคัญคือ
- หนึ่ง ความแข็งแรงของไวรัส (Viral fitness) ที่มากกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยระบาดมาก่อน โดยมีสมรรถนะการขยายวงการระบาดเร็วขึ้น (growth advantage) และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น (immune evasion) ในขณะที่ความรุนแรงของโรค (severity) นั้น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะฟันธง แต่หลายประเทศที่โดน BA.5 ระบาดมากนั้นก็พบว่าทำให้มีผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นอย่างชัดเจน
แม้ว่าทั่วโลกจะได้มีการฉีดวัคซีนไปมากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ด้วยความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ฉีด และภูมิจากการที่เคยติดเชื้อมาก่อน ทำให้พบการติดเชื้อมากขึ้นอย่างมาก ทั้งในคนที่ไม่เคยติดมาก่อน รวมถึงคนที่เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Reinfection) ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงไม่แปลกใจที่มีหลายฝ่ายยกให้ BA.5 เป็นศัตรูที่น่ากลัวกว่าทุกสายพันธุ์ที่มีมา
- สอง ทั่วโลกมีการผ่อนคลายมาตรการ เสรีการเดินทางและการใช้ชีวิต หลายประเทศไม่ได้เน้นให้ประชาชนป้องกันตัวระหว่างการใช้ชีวิต จึงทำให้เกิดการระบาดปะทุรุนแรงดังที่เห็นในปัจจุบันสิ่งที่จะเป็นปัญหาระยะยาวคือ ภาวะ Long COVID ซึ่งจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต สมรรถนะการใช้ชีวิตและการทำงาน รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม
…สำหรับสถานการณ์ของไทยข้อมูล ณ 7 กรกฎาคม 2565
- อัตราการครองเตียงในสถานพยาบาลภาครัฐในกรุงเทพมหานครนั้นอยู่ราว 40.36% (ครองเตียง 1,043 จากทั้งหมด 2,584 เตียงในทุกสังกัด)
- แต่อัตราการครองเตียงในสถานพยาบาลภาคเอกชนสูงถึง 74.6% (ครองเตียง 2,121 จากทั้งหมด 2,842 เตียง)
กดูภาคเอกชน จะพบว่าเตียงระดับ 1 สำหรับผู้ป่วยอาการน้อยนั้นครองเตียงถึง 96.7% (1863/1916)
จะเห็นได้ว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าระบบการดูแลรักษาของภาครัฐด้วยเหตุผลต่างๆ
แม้จะมีข่าวว่า ตัวเลขติดเชื้อที่รวมคนที่มาใช้บริการเจอแจกจบอยู่ราว 30,000 คนต่อวัน
แต่ด้วยข้อมูลโดยอ้อมจากลักษณะการเข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลที่มีจำนวน และสัดส่วนในเอกชนสูงกว่ารัฐอย่างชัดเจนนั้น ทำให้เราต้องฉุกคิดว่า สถานการณ์การติดเชื้อจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นคงต้องมากกว่าที่มีรายงานในระบบ ทั้งคนที่พอมีพอกิน ติดเชื้อแล้วรักษาเองตามที่ต่างๆ หรือคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ติดเชื้อแล้วไม่สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้ด้วยข้อจำกัด เช่น ความจำเป็นที่จะต้องทำมาหากิน การลางาน ค่าเดินทาง ภาระทางครอบครัว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ใส่หน้ากากนะครับ สำคัญมาก
ขอบคุณข้อมูล : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว,Thira Woratanarat
อ่านข่าวที่น่าสนใจ
- หน้ากากยังสำคัญ! นพ.มนูญ เตือน เชื้อนี้แพร่กระจายเร็ว หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี
- คับคั่ง! ประชาชนแห่ฉีด ฉีดวัคซีน ‘โมเดอร์น่า’ ล้น สถานีกลางบางซื่อ
- กรมวิทย์ เผย ผู้ป่วยโควิด BA.4/BA.5 หากรับวัคซีนเข็มกระตุ้น อาการน้อยลง