“โนโรไวรัส” ถึงไทยแล้ว! เตือนเฝ้าระวัง หลังมีเด็กติดเชื้อกว่าพันราย

Home » “โนโรไวรัส” ถึงไทยแล้ว! เตือนเฝ้าระวัง หลังมีเด็กติดเชื้อกว่าพันราย

โนโรไวรัส-min

กรมอนามัย เตือนเฝ้าระวัง “โนโรไวรัส” หลังระบาดหนัก ในงานกีฬาสี รร. อ.แกลง จ.ระยอง มีนักเรียน ครู บุคลากร ติดเชื้อ 1,436 ราย

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมอนามัย ได้เปิดเผยถึงกรณีการระบาดของโรคอุจจาระร่วงของนักเรียน ครู และบุคลากร 2 โรงเรียน ในอำเภอแกลง จังหวัดระยอง พบผู้ป่วยรวม 1,436 ราย เป็นนักเรียน 1,418 ราย ครูและบุคลากร 18 ราย ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นการเกิดจากการติดเชื้อ โนโรไวรัส ที่ปนเปื้อนมากับน้ำและน้ำแข็ง ที่บริโภคในช่วงของการจัดกิจกรรมกีฬาสี

โดย โนโรไวรัส (Norovirus) มักจะแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว สามารถพบได้ตามโรงเรียน ภัตตาคาร โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็ก รวมไปถึงรถหรือเรือท่องเที่ยว

โนไวรัสเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน สามารถติดต่อได้ง่าย จากการสัมผัสทางอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การสัมผัส และการหายใจ เช่น การสัมผัสผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อโนโรไวรัส รวมถึงสภาพแวดล้อมไม่ถูกหลักสุขาภิบาล

โนโรไวรัส คืออะไร?

โนโรไวรัส (Norovirus) คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร มีคุณสมบัติทนทานต่อความร้อน สามารถระบาดได้ง่าย ในเวลาอันรวดเร็ว แม้ว่าจะได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยก็ตาม โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่หนาวเย็น และมักจะติดต่อจากการปนเปื้อนในอาหาร และน้ำดื่ม

  • ผวาอีกครั้ง! สื่อนอกรายงาน มีเชื้อ ‘โนโรไวรัส’ แพร่ระบาดในประเทศจีน
  • เตือน! เด็กเล็กระวัง “โนโรไวรัส” ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง ถึงแก่ชีวิต
  • รู้จัก โนโรไวรัส ตัวการสำคัญ! ที่ทำเด็กชัยภูมิท้องเสียกว่า 300 คน

ระยะฟักตัวของ โนโรไวรัส

โดยโนโรไวรัสมีระยะฟักตัวสั้น 12-48 ชั่วโมงหลังการรับเชื้อ อาการที่พบส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ปวดมวนท้อง ท้องเสีย มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ บางรายอาจทำให้มีอาการขาดน้ำ จึงควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนการเสียน้ำและเกลือแร่

มาตรการเฝ้าระวัง โนโรไวรัส

ประชาชนควรมีมาตรการในการป้องกันตนเองจากโรโนไวรัสตามคำแนะนำ ดังนี้ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ก่อนและหลังทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หลีกเลี่ยงดื่มน้ำที่ไม่สะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาด

ส่วนหน่วยงานและสถานประกอบกิจการควรมีมาตรการควบคุมป้องกัน ดังนี้

  1. การเติมคลอรีนในถังพักน้ำดื่มและน้ำใช้
  2. การตรวจประเมินคุณภาพน้ำใช้ น้ำดื่มอย่างต่อเนื่อง
  3. จัดให้มีจุดล้างมือพร้อมสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ที่เพียงพอ
  4. การให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพและส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยส่วนบุคคลที่ดีสำหรับการป้องกันโรค
โนโรไวรัสในเด็ก

ที่มา : สสส.

    แท็กที่เกี่ยวข้อง

    เรื่องอื่นที่น่าสนใจ