โดนหลอกเซ็นค้ำ หนี้เกือบ 10 ล้าน ป้าเครียดหนัก ยอมสละชีวิตรักษาที่ดินทำกิน

Home » โดนหลอกเซ็นค้ำ หนี้เกือบ 10 ล้าน ป้าเครียดหนัก ยอมสละชีวิตรักษาที่ดินทำกิน


โดนหลอกเซ็นค้ำ หนี้เกือบ 10 ล้าน ป้าเครียดหนัก ยอมสละชีวิตรักษาที่ดินทำกิน

ป้าเครียดโดนหลานแท้ๆหลอกเซ็นค้ำ หนี้เกือบ 10 ล้าน จนถูกฟ้องยึดที่ทำกิน แต่หลานและคนเช่าซื้อ กลับใช้ชีวิตหรูหรามีธุรกิจใหญ่โตไม่ถูกยึดทรัพย์

วันที่ 10 พ.ค. 65 นางสุพัตตรา สอาดชอบ อายุ 57 ปี ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ร้องขอความเป็นธรรม หลังจากเมื่อปี 2558 หลานสาวแท้ ๆ ให้ช่วยเซ็นค้ำประกันซื้อรถพ่วงให้กับหลานเขย โดยอ้างว่าจะเอาไปรับจ้างขนผลผลิตทางการเกษตร จึงเชื่อใจแต่วันที่ไปเซ็นค้ำกลับใช้ชื่อของ นายบุญถึง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นพี่ชายของนายแดง อายุ 50 ปี หลานเขยเป็นคนเช่าซื้อ ส่วนนายแดง หลานเขย และนางสุพัตตราเป็นคนเซ็นค้ำประกัน 2 คน

นางสุพัตตรา กล่าวว่า โดยวันที่ไปเซ็นค้ำประกันให้ ตนไม่ได้อ่านสัญญาทั้งหมด เพราะเอกสารเยอะมาก ประกอบกับเชื่อใจหลานสาวคงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเขาบอกว่าซื้อรถพ่วง 1 คัน แต่ไม่ได้บอกว่าราคาเท่าไหร่ หลังจากเซ็นเสร็จก็กลับมาใช้ชีวิตทำมาหากินตามปกติ จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายปี 2562 มีหมายศาลจังหวัดนางรอง ส่งมาที่บ้านโดยในหมายระบุว่า ทางบริษัทที่ขายรถพ่วง ยื่นฟ้อง นายบุญถึง ผู้เช่าซื้อรถ จำเลยที่ 1 เพราะผิดสัญญาเช่าซื้อรถพ่วงไม่ได้ชำระค่างวด

ส่วนนายแดง หลานเขย ตกเป็นจำเลยที่ 2 และตนเป็นจำเลยที่ 3 ในฐานะคนค้ำประกัน ซึ่งก็ตกใจมาก ตนก็เดินทางไปตามที่ศาลนัด ซึ่งหลานเขย และพี่ชายที่เป็นผู้เช่าซื้อ ก็มีการทำสัญญาประนีประนอมกับทางบริษัท ว่าจะชำระงวดรถที่ค้างกับทางบริษัทระหว่างวันที่ 10 ม.ค.2563 เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 ธ.ค.2565 ซึ่งทั้งสองก็รับปากว่าจะรับผิดชอบหนี้ค่างวดที่เหลือเองทั้งหมด ไม่ให้ตนเองเดือดร้อนแน่นอน ก็รู้สึกสบายใจขึ้น

แต่ด้วยความที่อยากรู้ว่ารถพ่วงที่ตนเซ็นค้ำประกันให้นั้นเหลือยอดค้างชำระเท่าไหร่ จึงสอบถามกับบริษัทไฟแนนซ์ ก็แจ้งว่าตนได้เซ็นค้ำประกันซื้อรถพ่วงถึง 2 คัน เป็นยอดเงินเกือบ 10 ล้านบาท ทั้งที่หลานบอกว่าคันเดียว จากนั้นจึงพยายามติดต่อไปหาหลาน แต่ไม่สามารถติดต่อได้ทั้งไลน์ มือถือ ถูกบล็อกการติดต่อทุกช่องทาง

นางสุพัตตรา กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย.2565 ที่ผ่านมาก็มีหมายจากบังคับคดีส่งมาที่บ้าน ระบุว่าจะยึดที่ดินแปลง 23 ไร่ซื้อเป็นที่ดินทำกินผืนเดียวของครอบครัว ที่ไว้สำหรับทำนา ปลูกอ้อย และทำสวนเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งภายในวันที่ 18 พ.ค.ที่จะถึงนี้ หากไม่ชำระค่างวดที่ค้างหรือนำรถไปคืนบริษัท ทางบังคับคดีก็จะยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาด ตนและลูกชาย จึงไปตามหานายแดง ที่อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ครั้งแรกไม่พบ

ครั้งที่สองได้เจอ แต่นายแดง บอกว่าได้เลิกกับหลานตนแล้ว ส่วนรถพ่วงก็ขายไปแล้วเขาบอกเหมือนกับจะไม่รับผิดชอบอะไร แต่เท่าที่ตนไปเห็นหลานเขยฐานะร่ำรวย มีธุรกิจใหญ่โตเป็นของตัวเอง และใช้ชีวิตแบบหรูหรา ก็แปลกใจว่าทำไมหลานเขย และพี่ชายของหลานเขย จำเลยที่ 1 และ 2 ถึงไม่ถูกยึดทรัพย์ กลับใช้ชีวิตหรูหรา แต่ตนซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ทำไมถึงมีหมายบังคับคดียึดที่ดินทำกิน

“รู้สึกเสียใจมากไม่คิดว่าหลานสาว และหลานเขยจะทำแบบนี้กับเราได้ลงคอ ตอนนี้เดือดร้อนมากเครียด หากจบชีวิตแล้วหมายบังคับคดียึดที่ดินเป็นโมฆะได้ ก็จะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อแลกกับที่ดินผืนดังกล่าวซึ่งเป็นที่ทำกินผืนเดียว เก็บไว้ให้ลูกหลานทำกิน ก็ฝากเป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าไปเชื่อค้ำประกันให้ใคร สุดท้ายตัวเองจะเดือดร้อนเอง” นางสุพัตตรา กล่าว

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ