ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในระหว่างการแถลงการณ์แผนนโยบายช่วยเหลือผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเด็นการเหยียดเชื้อชาติชาวเอเชีย ซึ่งเป็นปัญหาที่ลุกลามอยู่ในสหรัฐฯ ขณะนี้ โดยไบเดนระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นเรื่องที่ผิด ไม่ใช่ความเป็นอเมริกัน และต้องหยุดได้แล้ว”
AFP
การเหยียดชาวเอเชียกลายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 สร้างความหวาดกลัวและความกังวลให้กับชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ทำงานเรียกร้องสิทธิมนุษยชนได้ระบุว่า ตัวเลขเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวเอเชีย อาจมีมากกว่าที่ปรากฏในรายงานของเจ้าหน้าที่
“มีคนที่เข้าโดนทำร้ายแล้วไม่ยอมเข้าแจ้งความมากกว่าคนที่เข้าแจ้งความ” คอนนี ชุง โจ ผู้บริการสมาคมเอเชี่ยนอเมริกันเพื่อความยุติธรรมลอสแองเจลิส (Asian Americans Advancing Justice) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว NPR
การไม่เข้าแจ้งความของคนเอเชียเกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัญหาเรื่องอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม ไปจนถึงความไม่เชื่อมั่นในระบบยุติธรรม โดยองค์กร Stop AAPI Hate ระบุว่า ในระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 (19 มี.ค. – 31 ธ.ค. 2020) พวกเขาได้รับรายงานการเหยียดชาวเอเชียมากกว่า 2,800 ครั้ง มีทั้งการใช้ถ้อยคำด่าทอ และการทำร้ายร่างกาย
AFP
“หลายคนที่เราคุยด้วยรู้สึกหวาดกลัวที่จะออกไปข้างนอก หรือไม่ก็ขอให้พ่อแม่ที่สูงอายุอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปเดินเล่น หรือออกไปซื้อของ” ชุง โจ กล่าว พร้อมระบุว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเหมือน “ช่วงเวลาที่ชอกช้ำระดับประเทศ” ของชุมชนชาวเอเชียในสหรัฐฯ
เหตุการณ์ของวิชา รัตนภักดี ชายชาวไทย วัย 84 ปี ที่เสียชีวิตจากการถูกวัยรุ่นผลักล้มจนเสียชีวิต ขณะออกมาเดินออกกำลังกายในตอนเช้า กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะที่โจ ไบเดนก็ได้แสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมลงนามในบันทึกความตกลงเพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชียและชาวเกาะแปซิฟิก ซึ่งสั่งการให้มีการจัดเก็บรายงานเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติที่ดีขึ้น และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลยกเลิกภาษาที่เหยียดเชื้อชาติออกจากเอกสารราชการทั้งหมด