ในชีวิตของคนเราตั้งแต่เด็กจนโต มีผู้คนรอบตัวที่หายหน้าหายตาไปตลอดเวลา แต่ไม่มีที่ไหนที่ปรากฎการณ์นี้แพร่หลายเท่ากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่คิดค้นคำศัพท์สำหรับปรากฎการณ์นี้โดยเฉพาะ นั่นคือคำว่า “โจฮัตสึ”
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่มักทำให้ผู้คนเลือกที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั่นคือ การเป็นหนี้ก้อนโต, การผิดหวังเรื่องความรัก และ การทำงานที่เต็มไปด้วยความกดดันในญี่ปุ่น
แต่นอกจากนั้นยังมีปัจจัยทางวัฒนธรรมบางอย่างที่ทำให้ผู้คนในญี่ปุ่นอยากหายตัวไปจากโลกนี้ เช่น ความละอายใจจากการสร้างภาระให้ครอบครัว, การหย่าร้าง หรือแม้แต่ การลาออกจากงาน
คนญี่ปุ่นจำนวนมากไม่อาจทนต่อสิ่งเหล่านี้ได้ และพวกเขาก็มักหาทางออกด้วยวิธีที่คาดไม่ถึง หรือไม่ก็กลายเป็น “โจฮัตสึ” ซึ่งหมายถึงการหายตัวไปจากชีวิตจริงของพวกเขา
ฮิโรกิ นากาโมริ นักสังคมวิทยาชาวญี่ปุ่นผู้ศึกษาปรากฎการณ์โจฮัตสึมาหลายปีแล้ว เขากล่าวว่า คำนี้มีการเริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อผู้คนตระหนักว่าการหายตัวไปจากชีวิตนั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวพวกเขาเองและครอบครัวของพวกเขา
โจฮัตสึ ก็เหมือนกับการ “ระเหย” ไป
“ในญี่ปุ่น มันเป็นการง่ายที่จะระเหยไป” นากาโมริ กล่าว
“ตำรวจจะไม่เข้าไปแทรกแซงเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลอื่น เช่น อาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ สิ่งที่ครอบครัวพวกเขาพอจะทำได้ก็คือ การจ้างนักสืบเอกชนด้วยเงินจำนวนมาก หรือเพียงทำได้แค่รอเท่านั้น”
ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนญี่ปุ่น ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจเป็นโจฮัตสึจึงสามารถซ่อนตัวได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบ ตราบใดที่พวกเขาอยู่ห่างจากชีวิตเดิม พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลกับการถูกพบเห็นในกล้องวงจรปิดหรือใช้บัตรเครดิตที่ตู้ ATM เพราะสมาชิกครอบครัวพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้
คุณแม่ของโจฮัตสึอายุ 22 ปีรายหนึ่งกล่าวว่า “ฉันเข้าใจว่ามีพวกมิจฉาชีพ ข้อมูลจากกล้องอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด มันเป็นกฎหมายที่จำเป็น ทุกคนได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกันเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย”
“แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถตามหาลูกตัวเองได้อย่างงั้นหรือ? นี่มันอะไรกันแน่? ด้วยกฎหมายฉบับปัจจุบัน ถ้าไม่มีเงิน สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือการรอดูข่าวร้ายบนหน้าข่าวเท่านั้น”
บริษัทที่ให้บริการทำให้คุณหายไป
ปรากฎการณ์โจฮัตสึเป็นที่แพร่หลายในญี่ปุ่นจนถึงกับมีบริษัทที่ให้บริการ “ช่วยให้คนระเหยไป” ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนที่อยากเป็นโจฮัตสึหลายไปจากชีวิตเก่าของพวกเขาได้อย่างแนบเนียน พวกเขาจะมีการวางแผนการหายตัวไปและยังเสนอที่พักชั่วคราวในสถานที่ลับอีกด้วย
เจ้าของบริษัทรายหนึ่งกล่าวว่า มันขึ้นอยู่กับจำนวนทรัพย์สินของผู้คนที่ต้องการเป็นโจฮัตสึ, ระยะทางที่พวกเขาต้องการหนีไปว่าไกลแค่ไหน ซึ่งค่าบริการก็จะแตกต่างกันตั้งแต่ 50,000 เยน (ราว 14,600 บาท) จนไปถึง 300,000 เยน (ราว 88,000 บาท)
ราคาที่สูงขึ้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การพาลูกๆหนีตามไปด้วยก็จะทำให้ค่าบริการสูงขึ้น เจ้าของบริษัทรายนี้อ้างว่า พวกเขาได้ช่วยเหลือให้ผู้คนหนีจากชีวิตเดิมๆมากถึง 100-150 คนต่อปีเลยทีเดียว
ส่วนใครที่ไม่ต้องการจ่ายเงินค่าบริการที่มีราคาแพงหรือต้องการหนีหายไปคนเดียวเงียบๆ พวกเขาสามารถศึกษาคู่มือการเป็นโจฮัตสึที่มีวางขายอยู่หลายเล่ม เช่น “หายตัวอย่างสมบูรณ์: เริ่มต้นชีวิตใหม่ของคุณ” หรือ “คู่มือการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตโจฮัตสึ?
หลังจากลายเป็นโจฮัตสึ พวกเขาก็จะเริ่มต้นทำงานธรรมดาๆ เช่น เป็นคนล้างจาน, พนักงานเสิร์ฟ และการไม่เหลือใครก็มักทำให้พวกเขาประสบกับความเหงา และดำเนินชีวิตที่ยากลำบาก บางคนก็ไม่อาจทนความเจ็บปวดเหล่านี้ได้
สรุปแล้ว ไม่ใช่โจฮัตสึทุกคนจะมีชีวิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์ยากของพวกเขา ชีวิตบางคนเลวร้ายกว่าเดิมและยังทำให้ครอบครัวพวกเขาต้องโศกเศร้า โจฮัตสึจึงถือเป็นมุมมืดของชาวญี่ปุ่นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน