"แอน อลิชา" เผยพิษโควิดธุรกิจเสียหายหนัก อัปเดตอาการป่วย "ภูริ" หลังเอ็นแขนขาด

Home » "แอน อลิชา" เผยพิษโควิดธุรกิจเสียหายหนัก อัปเดตอาการป่วย "ภูริ" หลังเอ็นแขนขาด
"แอน อลิชา" เผยพิษโควิดธุรกิจเสียหายหนัก อัปเดตอาการป่วย "ภูริ" หลังเอ็นแขนขาด

คุณแม่ลูก 2 แห่งแก๊งนางฟ้า แอน-อลิชา หิรัญพฤกษ์ วันนี้จะมาอัพเดทความน่ารักของลูกสาวทั้งสอง พร้อมเปิดใจเจอพิษโควิดทำธุรกิจเสียหายนับล้านบาท และอัปเดตอาการ ภูริ หลังผ่าตัดหัวไหล่ยกแขนไม่ได้นาน 2 เดือน ในรายการคุยแซ่บ SHOW ที่มี พีเค-ปิยะวัฒน์, ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ อาจารย์เป็นหนึ่ง  เป็นพิธีกร

ภูริ ไปทำอะไรมาถึงแขนเจ็บ 

แอน :  “เขาซุ่มซ่ามลื่นล้มแล้วเอ็นขาดแล้วก็ทนเจ็บมา 2 เดือน แต่สิ่งที่ทำให้เขารำคาญก็คือเขาไม่สามารถยกแขนตรงๆ เหมือนคนทั่วไปได้ ที่ผ่านมาเขาก็ทำเลเซอร์ ทำกายภาพ จนไปเข้าเอ็มอาร์ไอแล้วหมอเห็นว่ามันขาด หมอก็เลยบอกว่า ผ่าเถอะครับ ถามว่าแอนบังคับเขาไหมคือเขาผ่าของเขาเองเพราะเขายกแขนไม่ได้ อุ้มลูกไม่ได้ เขาก็เลยหงุดหงิด และจะอารมณ์เสียมากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ก็เลยไม่ได้ออกไปทริป ไม่ได้ออกไปทำงาน เขาจะหงุดหงิดฉุนเฉียวตลอดเวลา”    

หมอบอกจะกลับมาใช้แขนตามปกติได้เมื่อไหร่

แอน : “หลังจากผ่า 3 เดือน คือรอให้ทำกายภาพไปด้วย ทำอะไรไปด้วย ตอนนี้เขาก็พักผ่อนอยู่บ้านยาวๆ แอนก็จะรู้สึกเหมือนมีลูก 3 คน คือเวลาเขาเจ็บเขาก็จะนู่นนี่ ถามว่าลูกเข้าใจไหมว่าพ่อเจ็บ คือคนโต ริชา จะรู้ ตอนนี้เขา 5 ขวบแล้ว เขาก็จะถามว่าจ๋าจะเข้าโรงพยาบาลนานไหม จ๋าเจ็บมากแค่ไหน จ๋าเป็นอะไร เขาก็อยากจะไปเยี่ยม ทำการ์ด ทำวิดีโอ ไปให้พ่อ ส่วนคนเล็กตอนนี้ก็อายุ 16 เดือน เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร” 

ระหว่างสามีบาดเจ็บ กับพิษโควิดอะไรหนักกว่ากัน 

แอน : “มันไปร่วมกัน ที่ผ่านมาเราเจอมา 2 ปี เต็ม อย่างธุรกิจเรื่องการท่องเที่ยว มันแน่นอนว่าเสียหายไปทั่ว แล้วบ้านเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว มีโรงแรม มีที่พัก มีเกาะ คือของเราท่องเที่ยวล้วนๆ ปีที่แล้ว เราก็ทำสุดกำลังที่เราทำได้ เราก็ดูแลพนักงานที่เรามี 60 กว่าคน ก็แบกกันมาได้ 6 เดือน ต่อมาเราก็ไม่ไหว เราก็ต้องให้พนักงานหยุดงานกลับบ้านกันไป แล้วเราเพิ่งมาเปิดเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ตอนนี้ก็กลับมาอีกรอบ และถือเป็นความโชคดีที่เราเปลี่ยนจากโรงแรมเป็น เวลเนสซ็นเตอร์ เป็นการรีแคป ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล จากคนที่เครียดเรื่องงาน เรื่องชีวิตก็จะไปอยู่ตรงนั้น ก็จะได้แขกที่อยู่ระยะยาว ก็พอไปได้ แต่ก็ไม่ดีเท่าเดิม ช่วงที่เราเปิดใหม่พนักงานเราก็ต้องลดจำนวนลง พนักงานก็ไม่ได้กลับมาหมด” 

สามารถตีเป็นมูลค่าความเสียหายได้ไหม 

แอน : “จริงๆ ก็อยากจะบอก ว่ามันไม่แค่นั้นเพราะมันยังมีเกาะนาคาน้อยซึ่งช่วงสงกรานต์เพิ่งจะทำเป็นบีซคลับ เปิดให้คนมาเที่ยว มีร้านกาแฟ มีเต้นท์ เป็นแคปปิ้ง ก็เปิดได้แค่ 3 วัน โควิดก็กลับมา ก็เลยต้องพับโครงการกลับมาทั้งๆ ที่ลงทุนไปแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีรายการอีก ถามว่าเสียหายมากไหมก็มีเจ็ดหลักนะ ทุกวันนี้ก็กุมขมับทุกวัน เครียด รายการก็ไปถ่ายเหมือนเดิมไม่ได้ รายการ viewfinder ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเมื่อก่อนเขาจะไปเมืองนอกตลอด หายไปที 10 วัน 20 วัน ตอนนี้ก็ต้องหาที่ใกล้ๆ การทำงานมันก็ลำบากมากขึ้น มันก็เหมือนทุกคนที่ทำมาหากินยากขึ้น ถามว่าท้อไหม ก็มีท้อนะ แต่เราก็ให้กำลังใจกันไป คือเราก็รู้ว่าเขาทำงานหนัก เราซัพพอร์ตตรงไหนได้ เราก็ซัพพอร์ตในฐานะครอบครัว ส่วนหน้าที่ของเราก็คือทำหน้าที่แม่ เลี้ยงดูลูกของเราให้ดีที่สุด” 

มีวิธีการจัดการกับความท้อ อย่างไร 

แอน : “จริงๆ สถาบันครอบครัวสำคัญมาก เรามีครอบครัวที่ดีการให้กำลังใจกันเองนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญ เจออะไรที่ไม่ดีเราก็จับมือกันให้กำลังใจกัน ช่วยกันได้ก็ต้องซัพพอร์ตกันไป จับมือและสู้ไปด้วยกันเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น มันคงไม่นานไปกว่านี้” 

คิดว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมไหม

แอน : “ก็หวังว่าจะให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม คือทุกอย่างที่เราทำไป เราลงทุนไป คืออย่างที่ปายเรา 2 คนทำมาตั้งแต่เป็นที่ดินเปล่า มันเป็นอะไรที่เราสร้างมากับมิอเราก็รักมัน ส่วนที่นาคาน้อยก็เป็นธุรกิจครอบครัวสามี เราก็อยากให้มันเป็นอะไรที่ให้หลาน ให้เหลน คนในครอบครัว ใช้ตรงนี้ไปได้เรื่อยๆ ก็หวังว่าจะฟื้นฟูเร็วๆ”  

โควิดรอบนี้นอยด์แค่ไหน

แอน : “ก็มาก คือเจอ 2 รอบเลย ปีที่แล้วตอนที่มันหนักๆ แอนอยู่ที่ปายตอนช่วงหน้าหนาว ขากลับคือเราอยู่จนอยู่ไม่ได้ เรานั่งรถเป็น 10 ชั่วโมงจากปาย กลับมากรุงเทพ เพราะว่าไม่กล้าขึ้นเครื่องบิน อย่างช่วงสงกรานต์เราก็ไปใต้ พอโควิดมันกลับมา เราก็ต้องนั่งรถ 11 ชั่วโมง จากภูเก็ตมากรุงเทพเพราะว่าเราเสี่ยงไม่ได้ ลูกไม่ได้ออกจากบ้าน 3-4 เดือน คือเราไม่ให้ออกไปไหนเลย เราจะมีหน้าที่ไปซุปเปอร์อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ส่วนที่อื่นๆ เราพยายามไม่ออก ตอนนี้สงสารลูกเรา เพราะเขาต้องการสังคม เขาไม่ได้เจอเพื่อน เขาไม่ได้ไปโรงเรียน แล้วก็ติดแหงกอยู่กับบ้าน” 

ช่วงที่เวย์ติดเราอยู่ด้วยกันไหม

แอน : “ไม่อยู่ เราไม่เจอกันเลย คือตั้งแต่ต้นมกราคม เพราะมันมีกระแสว่าโควิดจะกลับมาก็เลยจะไม่ค่อยได้เจอเพื่อน พอรู้เราก็ตกใจว่ามันใกล้ตัวมากๆ คือตอนแรกเรามองเป็นเรื่องไกลตัวอย่างตอนที่ลิเดียหรือแมทธิวเป็น เรารู้จักแต่ไม่ได้สนิทมาก แต่พอเวย์คือเราสนิทกันมาก ก็เลยนอยด์ ก็มีโทรถามนานาว่าเป็นอย่างไร นานาก็เสียงสั่น เขาก็กังวล โดยเฉพาะคนที่มีลูกเขาก็คิดถ้าเขาเป็นแล้วใครจะดูแลลูก ลูกจะติดไหม จะอย่างไรต่อ” 

แอนมีลูก 2 คน จิรงๆ เป็นคนมีลูกยากเหรอ  

แอน : “ยาก… คือที่ผ่านมาตั้งแต่แต่งงานเราเป็นคนแข็งแรงเราก็ลองมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ติดจนต้องลองวิธีวิทยาศาสตร์ เราลองวิธีวิทยาศาตร์ 4 รอบ กว่าจะได้”

ไอทีเอฟ อะไร

แอน : “เขาเรียกว่าเด็กหลอดแก้ว เป็นการผสมไข่เราก้บสเปิร์มของสามี ไปผสมข้างนอกเพื่อให้ได้ตัวอ่อน แล้วค่อยเอามาฉีดเข้าข้างในตัวเรา ส่วนลูกคนที่สองถูกแช่แข็ง 5 ปี ถึงเอามาฉีดใส่ตัวเรา ถามว่าที่ต้องรอนานขนาดนั้น เพราะแอนกับภูริ ไม่ได้กะจะมีลูกอีก แล้วตอนแรกที่เราทำ ไอทีเอฟ เราได้ไข่มา 7 ฟอง ผสมออกมาแล้วได้ผู้หญิง 6 คน คือมันจะรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์จากโครโมโซม พอหมอบอกว่าเราได้ผู้หญิง 6 คน เราก็ยืนมองหน้ากันเพราะตอนแรกเราอยากได้ลูกชาย เพราะไลฟ์สไตล์เราสมบุกสมบัน บวกกับสมบัติของสามีน่าจะเหมาะกับลูกชายมากกว่า ก็เลยยังไม่เอา ก็ดูดไข่มาอีกรอบหนึ่ง ปั่นเชื้อของสามีให้ได้ผู้ชาย ปรากฎว่าได้ผู้ชายมา 2 คน แต่ไม่ค่อยแข็งแรง เราก็ไม่อยากเสี่ยงกลัวจะเป็นอะไรขึ้นมา เราก็ทำอยู่ 3 รอบ กว่าจะได้ริชา แล้วก็จบ ก็ไม่คิดจะทำลูกอีก จนริชาอายุ 3 ขวบครึ่ง เห็นลูกเหงา ก็เลยทำ ซึ่งคนนี้ก็เป็นลอตเดียวกับริชาเมื่อ 5 ปีที่แล้วเพียงแต่มาเกิดช้าหน่อย” 

ถามว่าเราทำแบบนี้ค่าใช้จ่ายเยอะไหม

แอน : “ก็เยอะอยู่ คือมันหลายรอบ พอรวมๆ กัน ก็ 7 หลัก” 

ได้ข่าวว่าท้องคนที่ 2 แพ้หนักมาก

แอน : “ใช่ ผิดกับริชาเลย ตอนท้องริชาสบายๆ แต่กว่าจะได้ริชามันยากมาก แต่พอได้มันง่ายไปหมด แต่พอลิษา นอนไม่กลับอยู่ 2 เดือนเต็ม เหวี่ยง อารมณ์เสีย จนคลอด แล้วก็โดนแทรกซ้อน เป็นกรดไหลย้อน” 

ทำไมต้องเลี้ยงลูกเหมือนเข้าทหาร ต้องเป๊ะทุกอย่าง

แอน : “คือไม่ได้เป็นทหารขนาดนั้น คือเราเชื่อตั้งแต่คนแรกแล้วว่า ทำอะไรที่เป็นเวลา เป็นตารางมันจะง่าย สำหรับเราและง่ายสำหรับเขา อย่างริชาก็จะกินนมทุก 3 ชั่วโมง นอนตอนไหน ก็จะเป็นจังหวะ แล้วเราก็ทำอย่างนั้นเรื่อยมา อย่างริชานั่งนักโครกมาตั้งแต่อายุ 6 เดือน คือเราจับนั่ง เลย เราก็จับนั่งให้เขาชิน แล้วก็นั่งแบบนี้ทุกวัน เวลาเดิม จนตอนนี้ 5 ขวบ เวลานั้นเขาก็จะถ่ายเสร็จเรียบร้อย ลิษาเราก็จับฝึกแบบนี้เหมือนกัน ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องใช้แพมเพิร์ตแล้ว กินข้าวและนอนก็เป็นเวลา มันก็จะง่าย”

ลูก 2 คน นิสัยเหมือนกันไหม

แอน : “ไม่เหมือน คนโตจะเป็นแนวหวานๆ ชอบอะไรสวยงาม ตอนแรกคิดว่าเขาจะลุยๆ นะ แต่เขาเป็นคนขี้กลัวและเป็นคนขึ้อ้อน ส่วนลิษาก็จะดุดันเหมือนแม่นิดหน่อย แล้วก็ลุยๆ ไม่กลัวอะไร ก็เป็นคาแรกเตอร์แตกต่างชัดดี ตอนนี้บ้านเราแบ่งหน้าที่ชัดเจน คือ สามีหาตังค์ เราก็มีหน้าที่เป็นแม่ดูแลลูก จัดระเบียบ และให้เขาโตตามวัย เราก็แล้วแต่เขาว่าเขาอยากเป็นอะไร เรามีแค่หน้าที่เลี้ยงให้เขาโตมาเป็นคนดีเท่านั้นพอ” 

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow  ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ