แลกหมัด! 'ชูวิทย์' ชี้ 'สันธนะ' แค่เด็กวานซืน แฉนายทุนจีน 5 กลุ่มเหมือนเพลี้ย โชว์เอกสารน่าสงสัย

Home » แลกหมัด! 'ชูวิทย์' ชี้ 'สันธนะ' แค่เด็กวานซืน แฉนายทุนจีน 5 กลุ่มเหมือนเพลี้ย โชว์เอกสารน่าสงสัย



แลกหมัด! ‘ชูวิทย์’ ชี้ ‘สันธนะ’ แค่เด็กวานซืน เข้ามาตี้ซี้ตอนเป็นตำรวจ ทั้งที่ไม่รู้จัก แฉนายทุนจีน 5 กลุ่มเหมือนเพลี้ย ฮุบผลประโยชน์ชาติ โชว์เอกสารพิรุธ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 พ.ย.65 ที่โรงแรม Davis Hotel Corner Wing นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงกรณีกลุ่มธุรกิจสีเทาของชาวจีน พร้อมเปิดเผยเอกสารนับร้อยหน้า โดยก่อนการแถลงมีสุนัขที่เลี้ยงไว้เดินเข้ามา และ นายชูวิทย์ พูดขึ้นว่า “สันธนะมานี่”

นายชูวิทย์ เผยว่า วันนี้มีประเด็นที่ไร้สาระและมีสาระ โดยเริ่มจากเรื่องไร้สาระก่อนคือ กรณีที่ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล บอกว่ารู้จักกับ 5 เสือมาเฟียที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาดีนั้น นายสันธนะ สูญเสียผลประโยชน์ทำให้ต้องออกมาตีโพยตีพายกล่าวหาว่าตนทำธุรกิจผิดกฎหมาย โดยอ้างจากคลิปวิดีโอของผู้มาใช้บริการในสถานบันเทิงที่โรงแรมตน แต่เมื่อตำรวจมาตรวจสอบก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย หากตนทำอะไรผิดจริง ก็จะมีเจ้าหน้าที่รัฐมาจัดการ ไม่ใช่ นายสันธนะ ส่วนประวัติของ นายสันธนะ ต้องโทรศัพท์ถามจากตำรวจด้วยกันเองก็จะรู้จักดี ซึ่งขณะตนเริ่มทำธุรกิจอาบอบนวดแรกๆ นายสันธนะ ยังเป็นตำรวจเด็กเมื่อวานซืน เข้ามาตีสนิททั้งที่ตนยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องมีสาระ คือประเด็นกลุ่มชาวจีนที่ทำธุรกิจสีเทา 5 กลุ่ม ซึ่ง นายสันธนะ อ้างว่ารู้จักนั้น กระจายการลงทุนอยู่ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย เพื่อฟอกเงิน เนื่องจากรัฐบาลจีน ปราบปรามการทุจริตอย่างหนัก โดยในเวียดนาม และกัมพูชา เช่น สีหนุวีล ต่างมีราคาที่ดินสูงขึ้นมหาศาล เฉพาะบ่อนพนันออนไลน์เดือนเดียวได้กำไร 2,000 ล้านบาท

อีกกลุ่มเป็นชาวจีนใส่สูทปล้น เป็นกลุ่มบริษัทและโรงงานจีนในไทย โดยตนเรียกว่ากลุ่มบริษัทศูนย์ๆๆ เหรียญ เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญและผับศูนย์เหรียญที่ตำรวจเพิ่งปราบไป กลุ่มนี้เป็นเหมือนเพลี้ยที่เข้าไปสูบทรัพยากรจนแห้ง เมื่อไร้ผลประโยชน์ก็บินไปที่อื่น ซึ่งบริษัทเหล่านี้มี 2 กลุ่ม คือบริษัทไทย กฎหมายกำหนดให้มีสัดส่วนคนไทยถือหุ้น 51% และบริษัทต่างชาติ ให้ถือหุ้นในสัดส่วน 49%

ซึ่ง พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบกับ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ระบุว่า บริษัทต่างด้าวห้ามประกอบธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความสามารถพร้อมจะแข่งขัน เช่น การสีข้าว การทำประมง การผลิตปูนขาว สถาปัตยกรรม การทำกิจการทางวิศวกรรม เป็นต้น

แต่มีบริษัทอักษรย่อ H กรุ๊ป (ประเทศไทย) จดทะเบียนเมื่อปี 2543 ทุนเริ่มต้น 20 ล้านบาท และยังมีผู้ถือหุ้นชาวไทย แต่ปัจจุบันกลับเป็นชาวต่างชาติถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ และทุนจดทะเบียนกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทนี้ เพิ่งประมูลงานติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าของรัฐ ด้วยงบ 1,500 ล้านบาท และจะสั่งซื้อสินค้ามาจากจีนโดยตรง ซึ่งเรื่องนี้รัฐจะไม่รับรู้ไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารที่ นายชูวิทย์ นำมาเผยแพร่ มีผลประกาศการจัดซื้อจัดจ้างมิเตอร์ไฟฟ้าของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง ผ่านระบบ e-auction ในปี 2560 ซึ่งมีรายชื่อผู้เสนอราคา 4 บริษัท โดยบริษัท H กรุ๊ป ชนะการประมูลด้วยราคาต่ำสุดที่วงเงิน 90 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่เสนอราคาสูงสุดอยู่ที่ 100 ล้านบาท

ถัดมาเป็นปี 2561 มีรายชื่อผู้เสนอราคา 3 ราย และบริษัท H กรุ๊ป ยังคงเสนอราคาต่ำที่สุดและชนะการประมูล โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาของการประมูลทั้ง 2 ครั้ง ระบุตอนหนึ่งว่า พัสดุต้องผลิตจากโรงงานที่ได้รับรองระบบคุณภาพที่ทำในประเทศไทยเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีเอกสารรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทลงวันที่ 19 ส.ค.2543 มีชาวไทย 6 คน ต่างด้าว 6 คน มีกรรมการบริษัท 2 คน เป็นต่างชาติรายหนึ่งและชาวไทยอีกหนึ่ง ทุนจดทะเบียน 16,000,000 บาท แต่ถัดมาเพียงปีเดียว เอกสารลงวันที่ 30 เม.ย.2544 มีรายชื่อผู้ถือหุ้นเป็นชาวจีนทั้งหมด 7 คน และรายชื่อกรรมการบริษัทสลับสับเปลี่ยนเรื่อยมาจนไม่มีกรรมการเป็นชาวไทย พร้อมกับทุนจดทะเบียนที่เพิ่มสูงขึ้นจดถึง 80,000,000 บาท

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ